Amazon ออก Kindle Fire สะเทือนไปทั้งสมรภูมิ Tablet

 ศึก Tablet เริ่มระอุขึ้นอีกครั้ง เมื่อค่าย Amazon จัดงานแถลงข่าวเปิดตัว Kindle รุ่นใหม่พร้อมกันถึง 4 รุ่นใน โดยจุดสนใจถูกพุ่งไปที่การเปิดตัว Amazon Tablet ที่ใช้ชื่อว่า Kindle Fire ซึ่งกลายมาเป็น 1 ในผู้ใส่ฟืนให้ศึก Tablet ครั้งนี้อย่างเป็นทางการนั่นเอง (ชื่อเป็นไฟ แต่ไหงกลายเป็นฟืน)

สำหรับบทความงัวๆ ของผมบลอคนี้ เป็นการสรุปเหตุการณ์ก่อนหน้า, สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ รวมไปถึงอนาคตที่(น่า)จะเป็นหลังการแถลงข่าวเปิดตัวโดย Amazon ซึ่งสิ่งต่างๆ ที่เขียน, พิมพ์ ได้มาจากการพูดคุยผ่านทวีตภพ, การอ่านข่าว, บทความของฝรั่งอั่งม้อ และความเห็นส่วนตัวลงไปบ้างนะครับ  แต่จะเน้นให้อ่านเข้าใจง่ายที่สุดนะครับ

ข่าวลือก่อนงานแถลงข่าว

ที่จริงแล้วข่าว Kindle Tablet นั้นมีหลุดรอดออกมาเรื่อยๆ แต่ก็ไม่เยอะมากมายนัก เพราะเนื้อข่าวมีแต่เพียงว่าทาง Amazon จะมีการทำ Tablet ออกมาขายอย่างแน่นอน ด้วยราคาไม่เกิน $250 ซึ่งออกมาตัดราคาของ Apple iPad อย่างชัดเจน รวมไปว่า Software ในเครื่องจะ Android เป็นพื้นฐานในการใช้งาน

และก่อนงานแถลง 2 วันก่อนหน้าคือการที่ FOX TV เซ็นสัญญากับทาง amazon ซึ่งก็ถูกตีความไปว่า Amazon เตรียมทำ Streaming ยัดใส่ Tablet เพื่อกระตุกเงินในกระเป๋าเราแน่นอน

ด้วยข่าวลือที่ออกมาไม่เท่าไหร่ เลยทำให้มีเพียงคนกลุ่มจำนวนไม่มากที่สนใจและติดตามเรื่องนี้ เพราะในตอนนั้นแทบทุกคนมุ่งไปสนใจการมาขอ Apple iPhone5(4S) ที่กำลังจะเปิดตัวในสัปดาห์หน้า (4 ต.ค.) กันหมดนั่นเอง ^^

ภาพรวมของงานแถลง

งานแถลงข่าวถูกจัดขึ้นคืนวันที่ 28 ก.ย. 3 ทุ่มประเทศไทย ทำให้มีมนุษย์ฝั่งเอเชียรอฟังกันสบายๆ เพราะไม่ดึกมาก (แต่ผมกลับไปฟังช่วงแรกไม่ทัน อาศัยตามอ่านจาก Twitter เอา) และเมื่อเริ่มแถลงข่าว Jeff Bezos – CEO Amazon เป็นคนมาพูดด้วยตัวเอง
ด้วยการที่ผมคิดว่า Jeff จะเปิดตัวเฉพาะ Kindle Tablet แบบเดียว แต่เอาเข้าจริง แกจัดหนัก เปิดตัว All New Kindle 4 ตัวพร้อมกัน

Kindle คือสิ่งแรกที่เค้าเปิดตัว โดยใช้ Technology E-ink ตัวใหม่ ที่เค้าเรียกว่า Advance E-Ink และมีการออกแบบ body แบบใหม่ไร้ keyboard จะเหลือเพียงปุ่มจำเป็นในการใช้งาน ซึ่งก็จะเป็น Home, Menu, Navigate และปุ่มเปลี่ยนหน้าด้านข้างจอ ซึ่งถ้าจะซื้อหนังสือก็คงต้องอาศัยการใช้ navigate 4 ทิศทาง ซึ่งน่าจะใช้งานลำบากอยู่ และการที่ไม่มี Keyboard แล้ว ทำให้ขนาดตัวเครื่องเล็กลงไปกว่าเดิมอีกเล็กน้อย (ส่วนตัวแล้วผมว่า Kindle 3 นี่จับสะดวกมือสุดแล้ว)


และความจุภายในเครื่องถูกลดลงจาก Kindle 3 ที่มี 4GB โดยลดเหลือเพียง 2GB สาเหตุเนื่องจากว่า Amazon จะผลักดันแกมบังคับให้ไปใช้ Amazon Cloud Drive นั่นเอง เพราะที่นั่นมีพื้นที่ให้เราใช้งานให้ 5GB แบบฟรีๆ (ถ้าอยากเสียเงินก็ซื้อเพิ่มได้ครับ)

สิ่งที่สะดุดตาอย่างหนึ่งคือ การออกแบบ Logo Font แบบใหม่ที่ดูทันสมัยขึ้นกว่าเดิม และโดยไม่มีคำว่า Amazon อยู่ติดกันอีกแล้ว เพราะถือว่า Kindle ชื่อนี้มันติดปากติดตลาด E-reader ไปเรียบร้อยแล้ว

สำหรับเรื่องราคา Kindle ตัวนี้ซึ่งเป็นน้องเล็กสุด ถูกตั้งออกมา 2 แบบ 2 ราคาเหมือน Kindle 3 นั่นคือเป็นแบบมีโฆษณาและไม่มีโฆษณา

คนที่เพิ่งจะซื้อ Kindle 3 คงร้องสะอื้อกันเบาๆ (ผมซื้อก่อนหน้าถึงกับร้องไห้โฮ) เพราะ Amazon ตั้งออกมาเพียง $79 (2500 บาท) และ $109 (3400 บาท) ตามลำดับ โดยจะมีขายเฉพาะรุ่น Wifi และสีเงินเท่านั้น ซึ่งเป็นตัดการทำรุ่น 3G ทิ้งไปจากก่อนหน้านี้ที่มี

ใครสงสัยว่าแบบโฆษณามันจะเป็นยังไง ลองดู blog ที่ผมเขียนก่อนหน้านี้ได้ครับ 

Kindle ตัวถัดมา สำหรับผมค่อนข้าง surprise มากๆ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะถูกเปิดตัว นั่นคือ Kindle Touch – Kindle แบบจอสัมผัสที่ใช้ Technology E-ink แบบเดียวกันกับ Kindle รุ่นก่อนหน้า โดยควบคุมทุกอย่างด้วยการแตะหน้าจอ เลื่อนเปลี่ยนหน้าไปมา ไร้ปุ่มใดๆ

อันนี้ค่อนข้างตอบโจทย์คนใช้งาน Touch Screen จนเคยตัวไปแล้วนั่นเอง

และ Feature ที่ออกมาใหม่เพื่อรองรับ Kindle Touch ได้แก่ X-Ray ซึ่งเป็นการค้นหาข้อมูลแทบทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับหนังสือ ไม่ว่าจะเป็นชื่อหนังสือ, ผู้เขียน, ประโยคหรือข้อความเด็ดๆ ในเล่ม โดย X-Ray จะทำหยิบสิ่งเหล่านี้มาเทียบกับเล่มอื่นๆ ที่มีแนวคล้ายๆ กับเล่มที่เราอ่าน แล้วทำการแนะนำให้เราได้ โดยแหล่งข้อมูลที่ไปค้นหา ได้มาจาก Wiki และ Shelfari ซึ่งหนอนหนังสือน่าจะถูกใจมากๆ เพราะได้รู้ลึกรู้ดีจริงๆ (แถมยังจะหมดตัวซื้อหนังสือเพิ่มกันง่ายๆ

Kindle Touch ออกมา 2 รุ่นคือ WiFi และ 3G Free ตลอดกาลแบบไม่ต้องใส่ซิม โดยแต่ละรุ่นก็จะแบ่งเป็นแบบมีโฆษณาและไม่มีโฆษณา ซึ่งจะเหมือนกับ Kindle 3

ราคาของ Kindle Touch Wifi คือ ราคาอยู่ที่ $99 (3100 บาท) และ $139 (4300 บาท) ตามลำดับ และแบบ 3G อยู่ที่ $149 (4600 บาท) และ $189 (5900 บาท) ตามลำดับ

…ปวดตับซ้ำสองสำหรับคนที่เพิ่งถอย Kindle 3 มาไม่นาน

ส่วนอันสุดท้ายถือเป็น Hi-Light ประจำงานที่คนรอคอย ได้แก่ Kindle Fire – Tablet สี ที่ออกมาด้วยหน้าจอที่มีเกมประจำโลกของเราอย่าง Angry Birds ซึ่งสีสวยสดใสมากๆ

หลายคนอาจจะคุ้นๆว่า ทำไมหน้าตามันเหมือน Tablet สักยี่ห้อนึง ปรากฏว่ามันไปตรงกันกับ Blackberry Playbook เป๊ะ แถมมาดู Spec ก็ปรากฏว่า Hardware ทุกอย่างที่เราเห็นมันอย่างเดียวกัน

ภายในเป็น CPU Dual-Core และเป็น Multitasking อีกด้วย

ความจุภายในของมันอยู่ที่ 8GB และก็ใช้ Amazon Cloud ได้ 5GB เช่นกัน

ใน Kindle Fire นั้นจะมีความพิเศษที่ต่างจากรุ่นอื่นๆ นั่นคือ Web Browser ที่พัฒนาเพื่อใช้งานบนตัว Fire โดยเฉพาะ โดยชื่อว่า Amazon Silk ซึ่ง Amazon บอกสรรพคุณไว้ว่าจะช่วยให้การใช้งาน browser เร็วขึ้นกว่าการใช้งานบน Tablet ทั่วๆไป ซึ่งอธิบายๆ Silk แบบง่ายๆ คือ การแยกสิ่งต่างๆ ที่อยู่บนหน้าเวปออกเป็นส่วนๆ (Split Architecture) เมื่อแยกแล้วจะทำยิงขอข้อมูลแต่ละส่วน ซึ่งทำให้แยกการทำงานการขอคนละส่วนไปพร้อมๆ กัน ทำให้ทำงานได้เร็วขึ้น ซึ่งที่ที่ไปขอนั้นเรียกว่า Amazon Web Services cloud (AWS)

นอกจากนี้ยังสนับสนุนการใช้งาน Flash ด้วย (ไม่รู้ใช้งานจริงจะกระตุกบ้างหรือเปล่านะ)

สนนราคาอยู่ที่ $199 (6200 บาท) ซึ่งถูกกว่าที่ข่าวลือออกมาตอนแรกซะอีก โดยจะมีเฉพาะ Wifi เท่านั้นในตอนนี้ครับ

ร้องกรี๊ดกันไป (ผมด้วย)…

การเปิดตัวมีเพียงเท่านี้ครับ สรุปเสปคทุกอย่างได้ดังภาพด้านล่างครับ

ทีนี้ลองมาดูว่า มีอะไรตามมาหลังจากงานแถลงข่าวบ้าง….

Amazon แทงข้างหลัง Google ทะลุถึงหัวใจ …ฉึ๊ก!

ด้วยข่าวลือก่อนหน้าที่บอกว่า Kindle Fire จะมาด้วยพื้นฐานความเป็น Android แต่พอเอาเข้าจริงแล้วในการแถลงข่าว Amazon กลับไม่มีการพูดคำว่า Google หรือ Android เลยสักนิด แม้แต่ Spec ในหน้าจอของ Amazon ก็ยังไม่มี เจ็บจี๊ดเลย

นั่นแสดงว่า Amazon ลงทุนรื้อ code Android มานั่งเขียนให้เข้ากับสิ่งที่เค้ามีหรือสิ่งที่เค้าจะทำทั้งหมดโดยไม่ยึดตามการ release version ต่างๆ จากทาง Google อย่าง Froyo, Gingerbread โดยหลักแล้วก็คือเหล่า Amazon Web Service ของเค้า ที่ตอนนี้เริ่ม Build Team ขึ้นมาเรื่อยๆ นั่นเอง

Amazon Appstore vs Android Market

ถ้าเราลองมองย้อนกลับไปสัก 4-5 เดือนที่แล้ว Amazon ได้เปิดตัว Amazon Android Market ฝังอยู่ในหน้าเวปโต้งๆ เลย นั่นคือเค้าปูทาง(ไม่ใช่ปูนา…ขาเก) มาไว้ก่อนแล้วว่าตูจะเตรียมมายึดที่มั่นแล้วนะระวังตัวไว้ด้วย

คำถามคือ แล้วเราจะ Download App ต่างๆ หล่ะ เราก็ต้องพึ่ง Android Market อีกด้วยไหมไม่ใช่เหรอ? คำตอบในตอนนี้ต้องบอกว่าไม่เชิงครับ เพราะว่าการใช้งาน App บน Amazon App Store ยังต้องอาศัยความเป็น Android นั่นคือก็ยังต้องเอา App จาก Android Market มาไว้ที่ Amazone Appstore อยู่ดี

ทั้งนี้ทั้งนั้นเราคงไม่ได้โหลดใน Android Market โดยตรง ในทางกลับกัน Kindle Fire ก็ไม่สามารถเข้าไป Download Android Market ได้เหมือนกัน ซึ่ง Amazon ทำ Amazon Silk เพื่อจะสร้างถนนให้ Fire วิ่งเข้ามา Amazon Appstore เข้ามาโดยเฉพาะเท่านั้น ซึ่งน่าจะลอคด้วยการให้ mac address ที่มาจาก Fire เข้าได้แต่เพียงอย่างเดียว

Kindle Fire Effect – ใครโดนหางเลขบ้าง

ก่อนงานมีแต่คนพูดถึงว่าคนที่ซวยจะเป็น Apple iPad 2 ที่ครองส่วนแบ่งของ Tablet ไปเกือบหมดในตอนนี้

แต่พอเอาเข้าจริงคนที่สะเทือนแรงที่สุดนั่นคือ Android Tablet ที่มีราคาราคาไม่ถึงหมื่นยันหมื่นนิดๆ ซึ่งถ้ามองตามตลาดแล้วจะเห็นว่า Android Tablet มีตั้งแต่โนเนมกิ๊กก๊อกจนถึง global brand ก็คงมี Samsung, Dell, Toshiba, Motorola ที่อาจจะต้องปรับทัพเลือกออก Tablet ตัวเล็กๆ ราคาไม่แพงมาก มาฟัดกับมาสู้กับ Android สายพันธุ์ Amazon แน่นอน

และด้วยความที่ Fire ใช้ Android เป็นฐานแล้ว ส่วนตัวมองว่า ต้องมีฝรั่งใจดีมา hack เอา OS มาแต่งเล่นแน่นอน หลายคนอาจจะลูบปากว่าคงจะมัน แต่เมื่อทำแล้วเสน่ห์ Kindle จะหายไปแบบดีดนิ้ว *วิ้ง* และการเข้า service Kindle อาจถูกจำกัดไปด้วย

Apple iPad การมาครั้งนี้อาจจะส่งผลเสียอะไรมากมาย เพราะเค้ายืนอยู่จุดที่เห็นได้ชัดเจนว่าเค้าต้องการทำอะไร ส่วนแบ่งตลาดที่อาจเสียไปน่าจะเป็นคนเริ่มต้นการใช้ Tablet ไป แต่ก็คงไม่มาก และคนถือ iPad ที่จะเปลี่ยนใจมาเป็น Fire น่าจะน้อยมาก แต่กลับจะเป็นว่าต้องซื้อ Fire มาเพิ่มอีกเครื่องแทน ฮ่าๆ

ส่วนอีกเจ้านึงที่อดพูดถึงไม่ได้คือ Blackberry Playbook ที่ซวยซ้ำซวยซ้อนกว่าเดิม เพราะนอกจากเปิดตัวมาแป้กมากกับยอดขายที่ทำได้ไม่ดีเลย แถมยังมาเจอลูบคมด้วย Kindle Fire เจอไป 2 ดอก …ซี้แหงแก๋

มาฝั่ง E-book reader อย่าง Nook ค่าย Barnes and Nobel ที่เป็นคู่แข่งของ Kindle ก็โดนหมัดสวนของ Amazon เรื่องราคากันไปเต็มๆ ตอนนี้คงมึนๆหมัด อยู่ แต่น่าจะมีการขยับตัวพัฒนา back office ให้ดีมาสู้กับ Amazon Appstore ให้ได้ ซึ่งน่าจะใช้ระยะเวลานานมากพอสมควร (แต่ทุกวันนี้ก็ hack ลง Android ทั่วไปได้เหมือนกันนะ)

ไปๆมาๆ แล้ว Amazon ปล่อย Fire ทีเดียว เหมือนเด็ดดอกไม้สะเทือนถึง Market Tablet ระดับ Galaxy ไปเลย (ไม่ใช่ Samsung นะ) แบรนด์ไหนที่ผลิต Tablet ไม่ว่าจะขนาดหน้าจอเท่าไหร่ …โดนหมดรอบวงเลยจริงๆ

จะมาไทยไหมนะ?

เป็นคำถามที่ต้องถูกถามตามมาแน่นอนอยู่แล้ว (ก็ด้วยราคาที่ตั้งมาแค่ 6000 เองเนอะ) แต่คงต้องเล่าก่อนครับว่าโดยปกติแล้ว Amazon Kindle นั้นจะไม่มีร้านหรือตัวแทนนำเข้าที่นำ Kindle มาขายในไทยอย่างเป็นทางการอยู่แล้ว ถ้าอยากได้จริงๆ ต้องอาศัยคนที่เรียกว่า พี่น้อง, ญาติ หรือเพื่อน(เหยื่อ) ที่อยู่ US สั่งให้ส่งไปที่นั่นและหิ้วกลับมาให้ดินแดนสยาม หรือถ้าไม่อยากรอ ก็ต้องสั่งซื้อกับร้านในเวปที่ขาย ซึ่งบวกจากราคาจริงหลายพันอยู่ทีเดียว(หักจากราคาทุนแล้วก็ได้เยอะอยู่)

ส่วนถ้าเราจะสั่ง Kindle เองโดยตรง(สำหรับรุ่นก่อนหน้า) เราสามารถทำได้ครับ แต่ถ้าจะให้ประหยัดหน่อยก็ต้องลงขันสั่งกันทีละเยอะๆ จะช่วยหารค่าส่งได้ถูกลงครับ

แต่สำหรับ Kindle Fire ตอนที่พิมพ์นี้ต้องบอกว่ายังกดสั่ง(จอง)ซื้อไม่ได้ครับ ทาง Amazon เปิดให้เฉพาะ US ได้ทำการ Pre-Order เพียงประเทศเดียว แม้แต่แคนาดาที่อยู่ติดกันก็ยังไม่สามารถกดจองได้เลย สาเหตุจากการคุยกันใน Twitter สรุปได้ว่าน่าจะเกิดจากเรื่อง Licencing ของหนังสือ, เพลง และอื่นๆ ที่จะเปิดขายใน Amazon App Store ระหว่างประเทศ ซึ่งค่อนข้างละเอียดอ่อนพอสมควรเกี่ยวกับกฏหมาย และการควบคุม Inventory ที่ Amazon อยากจะดูก่อน

สำหรับมุมมองผม ผมเองมองเรื่อง Inventory ที่ Amazon ลงมาคุมก่อนที่เดียว เพราะการเปิดจองแบบปิดน่าจะเอาปริมาณมาทำนายแนวโน้มความต้องการของตลาดได้ และควรจะต้องทำอย่างไรต่อไปหลังจากที่เปิดตัวให้คนทั่วโลกสั่งได้อย่างสะดวกโยธิน

แต่ลำพังแค่คนไทยที่พอจะได้ตามอ่านใน Twitter และ G+ ตอนนี้พอได้รู้ข่าว ก็อยากสอย Fire กันแทบทุกคน ด้วยเหตุราคาที่ตั้งมาถูกมากนั้นเอง…

ปัญหากับ User Account ของไทย

เท่าที่ทราบตอนนี้ หากใครใช้ Amazon user ID ที่ลงทะเบียนด้วยที่อยู่ในไทย ก็จะไม่สามารถซื้อเพลงหรือซื้อหนังสือบางเล่มได้ โดยปัญหาจะอยู่ที่เรื่องเพลงครับ เพราะว่าการซื้อเพลงจะต้องอาศัยการใช้งานของ Amazon Cloud Player โดยเฉพาะ

ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริง Amazon Cloud ก็หมดคุณค่าทางอาหารสำหรับคนไทยทันที และถ้าซื้อ Fire มา ก็คงเป็นได้เพียงเครื่องอ่านหนังสือเหมือน Kindle ทั่วๆ ไป ซึ่งใครมี Kindle อยู่แล้วก็มองข้ามไปได้เลย

แต่ถ้าใครยังไม่มีแล้วเอามาอ่านหนังสือ(โดยเฉพาะการ์ตูน) Fire ยังคงน่าสนใจครับ เพราะมีคนรอเอามาอ่านการ์ตูน PDF ในไทยเยอะ

Next Steps?

ต้องมี Device รุ่นใหม่ๆ จาก Amazon เพื่อมารองรับ Web Service นี้แน่นอน เพราะมันคือแหล่งสูบเงินจาก User ทั้งหลายทั้งมวล
รุ่นที่จะออกคงจะต้องมีรุ่นที่จอใหญ่ขึ้นเพื่อเอามาแทนที่ Kindle DX ซึ่งจะได้ฟัดกับ iPad2 และ Galaxy Tab 10.1 แบบเน้นๆ และรุ่นจอ 7 นิ้วที่มี 3G ให้ใช้งาน (แต่ก็คงต้องต้องเพิ่มแบตด้วยนะ เพราะ 3G สูบแบตเป็นที่สุดในสามสิบโลก)

อีกอย่างน่าจะเป็นการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของการขาย Streaming บน Amazon ที่ได้เซ็นกับ Fox TV ไปแล้ว และคงมีค่ายอื่นๆ ทยอยเข้ามาเล่นด้วยแน่ๆ ในอนาคต เพื่อรองรับ Tablet อย่าง Fire และ Device ตัวต่อๆ ไปในอนาคต

นอกจาก Stream Media แล้ว Magazine ทั้งหลายน่าจะเจาะได้หนักขึ้นด้วยความที่จอเป็นสีแล้ว สำนักพิมพ์น่าจะต้องเริ่มคิดพัฒนาเพิ่มอีก 1 platform แล้ว (คิดว่าน่าจะ port จาก Android มาลงได้เหมือนกันนะครับ ถ้าเป็นงั้นจริงก็แค่เข้าคิวรอคุยกับ Amazon อย่างเดียว)

บทสรุป

เป็นการเปิดตัว Kindle ตัวใหม่ 4 รุ่น พระเอกของงานกลายเป็น Kindle Fire แต่เพียงผู้เดียว ตัวที่เหลือแทบไม่มีตำแหน่งเล่น เพราะไม่มีใครพูดถึงเลย -_-”

แต่ถ้าให้มองโดยรวมถือเป็นการตีตลาด Tablet ทั้งโลกเลย ด้วยการออกแบบใหม่ๆ และที่สำคัญราคาที่ Amazon ตั้งมันสร้างความมวนท้อง ปั่นป่วนกับคนทั่วโลกไปแล้วจริงๆ และราคาที่ตั้งแบบนี้ถือเป็นการเจาะตลาดบุกเอาเงินจาก Content ที่เป็นหนังสืออย่างเต็มๆ ด้วยราคา Device ที่ลดลงมายั่วใจคนที่ใช้งาน

นี่ถ้ามี 3G ออกมาอีกรุ่นสำหรับ Fire คงมันกว่านี้ คาดว่าคงพัฒนาไม่นานแต่เรื่องแบตคงต้องคิดหนักหน่อยนะ

สรุปผมให้ Amazon Kindle …แตกครับ! (เลียนแบบอาจารย์ขาโหดแห่ง SME ตีแตก เจ้าพ่อ Lamy และ Moleskine @mktmag)

httpv://www.youtube.com/watch?v=jUtmOApIslE

สุดท้ายขอบคุณข้อมูลจากเวปเยอะแยะเต็มไปหมด และรวมไปถึงข้อมูลต่างๆ วงเสวนาบนทวีตภพโดย @kktp @Pariwat @mimee @kafaak @ic4p @redlovetree และข้อมูลจากทวีตพี่หมอ @Jimmy_Live ด้วยครับ

ติดตามทุกอย่างเกี่ยวกับ Kindle รวมพูดคุยกันได้ผ่าน Twitter tag #TKUG (Thai Kindle User Group) ครับ

ปล.ไม่เคยจะเขียนอะไรยาวขนาดนี้มาก่อน ติชม เสนอแนะ และแสดงความเห็นได้ครับ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.