ผมชอบดูหนังนะ แต่ผมไม่ใช่คนประเภทจะเข้าเดินเข้าออกโรงหนังแบบทุกสัปดาห์ (ก็รู้ว่าบัตรใบนึงก็ซัดไปเกือบๆ 200 บาทแล้ว) ผมก็เลือกเรื่องที่จะชมอยู่เหมือนกัน ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ค่อยดูอะไรตามใครหรือตามกระแสชาวบ้านเท่าไหร่ ไปดูทีไรก็ไปคนเดียวตลอดเวลา เรื่องของเรื่องคืออยากกินป๊อปคอร์นคนเดียว (ใช่ซะทีไหนกัน)
น้อยเรื่องมากๆ ครับที่ผมตั้งหน้าตั้งตาจะรอดู ซึ่งก่อนหน้าที่ผมจะเขียนบล็อกนี้ ผมบอกกับตัวเองว่าเรื่องสุดท้ายสำหรับปีนี้คือ The Hunger Games Mockingjay part 1 แล้วจะดูอะไรก็ไปดูปีหน้าเลย (นั่นคือภาค 2) ส่วนเรื่องอื่นๆ ขึ้นอยู่กับการทำ Trailer ตอนที่ผมดูเรื่องอื่นๆ ว่ามีอะไรน่าสนใจ แล้วก็เน่าแทบทั้งนั้น (เสียดายเงินเพราะหนังแบบห่วยแตกสุดๆ ถูก trailer หลอก)
อ่อ อีกอย่าง ผมไม่ค่อยชอบจะมานั่งอ่านรีวงรีวิวของกูรู๊กูรูทั้งหลายหรอกครับ เห็นบ้างผ่านๆ ตา ผ่าน Timeline ตามเซเลปที่ได้เชิญไปดูฟรีแบบพรีเมียร์ทั้งหลาย แต่ผมก็ไม่สนอะไรทั้งนั้น
แทบทุกครั้งที่ผมไปโรงหนัง มันต้องมีเหตุอะไรก็ไม่รู้ดลใจให้ดู มีทั้งเห็นป้ายตามสถานีรถไฟฟ้าสนใจ เดินเข้าโรงหนังเลย หรือแม้แต่เปิดดูแอปโรงหนังผ่านๆ ตา สนใจเรื่องไหนก็จองมันในนั้นเลย
แต่สำหรับเรื่องล่าสุดที่ผมชม ก็ไม่ค่อยต่างอะไรจากปกติที่ผมไปชมเท่าไหร่นัก เพราะวันนั้นเป็นวันที่ผมต้องออกไปรับเบอร์เสื้อวิ่งงานกรุงเทพมาราธอน ซึ่งก็กะไว้หล่ะว่าคงต้องหานั่งรถเมล์อะไรสักอย่างมาให้ถึงสยามให้ได้ แล้วนั่ง BTS กลับประเทศสะพานควายเพื่อมานั่งรีดผ้ากันต่อไป
แต่สุดท้ายระหว่างที่ผมนั่งรถเมล์ ผมก็นั่งเปิดแอปเล่นเกมตามปกติไป (ผมติดเกมนี้อยู่ TwoDots) พอหมดชีวิต อะไรไม่รู้ดลใจให้ไปเปิดแอป SF, Major เพื่อดูว่าช่วงนี้มีหนังอะไรเข้าใหม่(ปลามัน)บ้าง บอกตามตรงว่าผมได้ยินแต่คนไปดู Interstellar ผมไม่รู้จักและคงเข้าไม่ถึงแน่ๆ 555 แล้วผมก็ไปเจอกับภาพของเรื่องอะไรก็ไม่รู้ (ในตอนนั้น) เอ้อโปสเตอร์นี้เล่น Tag Cloud หรือเปล่าว่ะ ชอบเป็นการส่วนตัว เลยตัดสินใจดูแม่มเลย ตอนนั้นคิดแบบนั้นจริงๆ ครับ
นั่งรถมาสยาม เชคดูรอบก็เจอว่า SFW ที่เวิร์ลเทรดมีเวลาใกล้เคียงที่ผมจะเดินไปจากสยามดิส เลยเดินลุยไปที่เวิร์ลเทรดเลยทันที
ผมเรียกถูกใช่เปล่า เขาเรียกเวิร์ลเทรดนะ รู้ยัง…
พอไปถึงก็ไปที่ชั้นโรงหนังเลย ด้วยความที่มีความคิดในหัวว่า “กูอยากดูเรื่องนี้” แต่เจือกจำได้แค่ว่า W ขึ้นต้น เริ่มหมุนหาโปสเตอร์หนังรอบตัวก็ไม่มี สุดท้ายต้องมาเปิดแอปดูอีกทีว่าหนังมันชื่ออะไร แล้วอ่านออกเสียงว่าไง
“โอเคๆ ไวแป๊ดๆ”
“เอาไวแป๊ดครับ รอบ 4 โมง 45 1 ที่ถ้วน”
จบก็ได้ตั๋วมาแบบอุ่นใจ เมื่อถึงเวลาก็เข้าไปชม…
[blockquote source=”มิตรสหายท่านหนึ่ง”]จะดูหนังก็รักษาเวลาด้วย ไม่ใช่ซื้อไว้ข้างในแล้วเข้ามาหลังจากหนังฉายไปแล้วชั่วโมงนึง ห่านจิก![/blockquote]
ผมจะไม่สปอยด์ตรีชฎาเรื่องนี้ครับ เพราะตอนผมไปดูก็ไม่ได้รับการสปอยด์ตรีชฎาแต่อย่างใด ในหัวมันว่างเปล่าจริงๆ แค่ลุ้นว่ากรูจะเซ็งกับความติสท์การเข้ามาดูแบบฉุกละหุกอีกแบบเรื่องที่แล้ว (Sex Tape) หรือไม่
สุดท้ายในเวลาร่วม 2 ชั่วโมงสำหรับเรื่องนี้คุ้มยิ่งกว่าแฟลตปลาทอง เพราะทุกอย่างมันมีอะไรแบบลึกซึ่งในความเรียบง่ายของตัวเรื่อง
หลังหนังจบเดินออกจากโรง ผมตั้งสเตตัสเรียบง่ายอันนี้…
https://www.facebook.com/charathbank/posts/10152804639305259
มีคนมาถามว่า กดดันไหม ผมว่าไม่นะ ดูหนังผีกดดันกว่าเยอะ ผมได้บางอย่างมากกว่าที่ใครหลายคนกลัวเรื่องการดำเนินเรื่องแบบกดดัน เพราะมันคือการผลักไปให้คนอย่าหยุด (ไหนบอกจะไม่ปอย!)
สิ่งที่ผมอยากจะบอกก็คือ บางครั้งบางที การที่คนเราคาดหวังอะไรมากๆ มันเป็นสิ่งที่ดีครับ มันสร้างพลังผลักให้คุณทำไปให้มันสุด แต่มันดีส่วนหนึ่งในความคิดผมนะครับ บางเรื่องควร บางเรื่องก็ไม่ควรเลย เพราะคนที่เจ็บปวดเพราะความหวังมันไม่ใช่ใคร มันก็คือตัวเราเองทั้งนั้น แถมยังจะแผ่รังสีให้คนอื่นอีก
แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมจะไม่ให้ทะเยอทะยานนะครับ แต่เราควรเลือกทะเยอทะยานในเรื่องที่ถูกที่ควรและเหมาะสม และอย่าลืมคนข้างหลังคุณ พ่อ แม่ แฟน เมีย ผัว สมี ภรรยา รวมไปถึงลูกของคุณ (ถ้ามี)
ถ้าใครเป็นอยู่ ก็ลองปล่อยใจสบายๆ ในช่วงเวลาที่เราอยากจะพักผ่อนครับ ไม่ต้องไปเป็นอย่างนั้นเสียทุกเรื่อง การดูหนังก็เป็นหนึ่งในนั้น ลองทำกันดูครับ
…แต่ไม่ต้องถึงกับติสท์แตกแดกป๊อปคอร์นเยอะอย่างผมก็ได้นะครับ
*ปล. หนังที่ผมไปดูแบบมีความหวัง 2 ใน 3 เละเทะในความคิดผมตลอด คือไม่ได้เกรดแบบพอใช้ แต่เข้าขึ้นห่วยแตก ส่วนหนังที่ผมไปดูแบบไม่คิดอะไรกลับดีแบบเข้าอันดับหนังในใจของผมไปหลายๆ เรื่อง โดยตอนนี้มีแค่ 2 เรื่องนี้ที่อยู่ในใจผมตลอดกาล Inception และเรื่องนี้แหละครับ Whiplash