หลังจากดองเค็มไว้เป็นเวลา 3 วันหลังจากงาน WWDC 2011 เริ่มวันแรก จนวันนี้เป็นวันสุดท้าย ก่อนที่มันจะเน่าเสีย ผมจึงต้องเขียนมาบอกเล่ากันต่อครับในส่วนของ iCloud และขออนุญาตแชร์มุมมองของผมที่มีต่อการงานครั้งนี้ครับ ^_^
iCloud
- iCloud เป็นบริการที่จะเก็บข้อมูลทุกอย่างของคุณขึ้นสู่ cloud ผ่าน WiFi ไม่ว่าจะเป็นเพลง, app, รูป, ค่า device setting และข้อมูล App โดยทุกๆ วันจะมีการ backup แบบอัตโนมัติ และสามารถดึงข้อมูลกลับมาใส่เครื่องของคุณได้อย่างง่ายดาย
- เมื่อข้อมูลอย่างรายชื่อ (Contact) หรือข้อมูลในปฏิทิน มีการเปลี่ยนแปลง ระบบจะทำการส่งการ update ไปยัง iCloud จากนั้นก็จะกลับมา Sync กับเครื่องของคุณเพื่อให้ข้อมูลเหมือนกัน แถมยัง update ไปยังเครื่อง iOS ที่เราใช้อยู่ทุกเครื่องอีกด้วย
- สำหรับคนที่สมัครใช้บริการ MobileMe จะยังคงใช้ได้อยู่ถึงปีหน้า เมื่อหมดอายุแล้ว ก็จะเปลี่ยนมาใช้เป็น iCloud อัตโนมัติ โดยไม่ต้องเสียเงินแบบ MobileMe อีกแล้วเพราะมัน FREE
- iCloud จะ Sync ข้อมูลรายชื่อ, ปฏิทิน, เมลของคุณ รวมไปถึง App ที่คุณซื้อ, หนังสือที่ download มาจาก iBooks
- และเอกสารทุกอย่างที่เกิดจากการทำงานผ่าน App Pages, Numbers และ Keynote ก็จะถูก backup สู่ iCloud เช่นกัน
- iCloud Storage API สามารถทำงานได้ทั้ง Mac และ PC
- ใน Mac จะใช้ iPhoto ในการจัดการ iCloud Storage API ส่วนใน PC จะใช้ picture folder แทน
- การทำงานของ iCloud จะเก็บรูป 1000 รูปล่าสุดที่อยู่บนเครื่อง iOS และรูปทุกรูปที่มีในเครื่อง Mac หรือบน PC ไปไว้บน iCloud เป็นเวลา 30 วัน เพื่อให้คุณสามารถทำงาน Push กับ Device ได้
- การทำงานของ Photo Stream จะทำการ Sync รูปใน Camera roll ที่เกิดจากการถ่ายหรือ import มาใส่เครื่อง ขึ้นไปใส่ใน iCloud ทั้งหมด
- และใน iCloud ยังเก็บข้อมูลการซื้อและ download ทุกๆ อย่างที่ทำผ่าน iTunes App Store ด้วยการกดปุ่มก้อนเมฆโดยไม่ต้องเสียอะไรเพิ่ม (ผู้เขียน-ซึ่งมันก็ใช้ Concept เดียวกับซื้อ App ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน)
- และ feature ใหม่คือการ download อัตโนมัติ ซึ่งเมื่อเราทำการซื้ออะไรก็ตามบน iTunes Store เครื่อง iOS ที่เราใช้ก็จะทำการ download สิ่งเดียวกันกับที่เราซื้อมาใส่ในเครื่องทันทีแบบไม่ต้องกดอะไรเลย (ผู้เขียน-สบายแล้วคราวนี้ แต่ถ้าออกนอกบ้านถ้าไม่ได้ใช้ 3G ก็ต้องแอบหา WiFi ฟรีจะได้ Sync ครับ)
- iCloud สามารถใช้ sync กับอุปกรณ์ได้ถึง 10 เครื่อง
- มีพื้นที่เก็บเมล, เอกสาร และข้อมูล backup 5GB โดยที่ไม่รวมรูป,หนังสือ,เพลง และ application (ผู้เขียน-อาจจะมีการคิดตังค์เพิ่มตรงจุดนี้)
- บนอุปกรณ์ iOS สามารถใช้งาน iCloud ได้ตั้งแต่ iOS 4.3 ในรูปแบบ iCloud beta
- และสุดท้าย เปิดตัวบริการเพลงบน iTunes เรียกว่า iTunes match ซึ่งจะทำการดูเพลงใน Library ที่เราใช้อยู่ ทั้งถูกและละเมิดลิขสิทธิ์และทำการจับเข้าคู่กับเพลงที่อยู่ใน Store ทันที และทำการ upgrade เพลงนั้นเป็น format 256k AAC DRM เลยทีเดียว
- คิดค่าบริการอยู่ที่ $24.99 ต่อปี ต่อ 20000 เพลง
- iCloud ตอนนี้เปิดให้ใช้งานเต็มรูปแบบในเดือนกันยายนนี้อย่างเร็วที่สุด และเริ่มให้ทดลองใช้งานบ้างแล้วสำหรับ Developer
ก็เป็นอันจบทั้ง 3 + 1 สิ่งที่ Apple หยิบมาเขย่าโลกอีกครั้งในงาน WWDC 2011 โดยเฉพาะเรื่องการประกาศก้าวเข้าสู่เมฆอย่างเป็นทางการซึ่ง เหมือน Apple ไปสะกิดปลุกยักษ์ใหญ่ในวงการ e-commerce ว่า ป๋าจ๊อบส์มาแล้ว เตรียมรับมือกันได้แล้วจ๊ะ
ก่อนจะจบไป ผมขอเขียนในมุมมองส่วนตัวของผมเองในแต่ละอย่างที่จะถูกเข็นออกมาใช้ใน 2-3 เดือนนี้นะครับ
…ย้ำอีกครั้งว่าทุกอย่างล้วนเป็นความเห็นส่วนตัว ยินดีรับฟังความคิดเห็นของทุกท่านครับ
ผมเองเคยได้อ่านทวีตจากอาจารย์ @Pariwat ที่ได้ลองลงตัว developer preview ของเจ้าสิงโต ที่ถูกปล่อยมาให้ใช้งานเฉพาะกลุ่ม developer ในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ที่ได้ทราบมา นั่นคือไม่ค่อยเสถียรเท่าที่ควร ต้องลงใหม่อยู่หลายรอบเลยทีเดียว และโปรแกรมทั้งหลายก็ยังไม่สามารถใช้งานได้อย่างสมบูรณ์
สิ่งที่ผมรู้สึกกับ Lion คือ Apple ตัดสินใจทำทุกอย่างเพื่อเอาใจ user โดยเน้นในการหา Mac’s User หน้าใหม่ที่อาจจะใช้งาน iPhone หรือ iPad ใช้งานกับ Windows อยู่ โดยการดึงเอาความสะดวกต่างๆ ที่ Windows และ application ไม่สามารถครอบคลุมถึง มายัดใส่ไว้ใน OS ตัวนี้ แต่ยังคงรักษาความเป็น Mac อยู่ดังเดิม
ส่วนที่ผมถือเป็น Hi-Light ของ Lion มีอยู่ 2 อย่าง อย่างแรกคือ การแสดงผลบนหน้าจอของ application ที่ฉีกกรอบออกไปให้กลายเป็น full screen ซะเลย ซึ่งจะทำให้เราได้ใช้พื้นที่ในการใช้งานได้อย่างเต็มที่ ,หน้าจอ User Interface ซึ่งมีหน้าจอเพิ่มขึ้น 2 อย่างที่เรียกว่า Mission Control ที่สามารถดูทุกอย่างที่เราใช้งานอยู่ โดยจัดเป็นกลุ่มอย่างชัดเจน และ Launchpad ที่แทบจะยกหน้าจอ iPad มาให้ใช้งานกันเลยทีเดียว
อีกอย่างคือ auto save ที่มันทำนอกจากการเก็บบันทึกไฟล์เอกสารแบบอัตโนมัติแล้ว ยังเก็บทุกไฟล์ที่ทำการ auto save ไว้อีกด้วย ทำให้เราจะเรียกตำแหน่งเพื่อแก้ไขเอกสาร ณ ตรงจุดไหนก็ได้ บอกตามตรงว่า โคตรโดนใจผมเลย เพราะผมเองมักมีปัญหาเรื่องไฟล์เอกสารมากๆ การทำอย่างนี้จะทำให้ไม่ต้อง งง ที่ต้องมาหาไฟล์
2 อย่างนี้ตรงนี้แหละที่ผมมองว่า จะช่วยดึงดูดความสนใจในการใช้งานหน้าใหม่ๆ ที่ยังลังเลจะ Go Mac ให้เดินมาควักเงินซื้อ Mac ด้วยความลังเลน้อยลงหรือเป็นศูนย์ และใช้งานอย่าง Happy ^_^
สรุป – ผมซื้อแน่นอน 100% ราคาที่ขายที่ US อยู่ที่ $29.99 ในไทยอาจจะจบด้วยเลขสวยๆ ที่ 990 บาทไทย
iOS 5 – จาก Cydia สู่ Official
สักต้นปีผมได้ยินจากเฮียอ๊อด @Thinkafe มือ Adobe แห่งที่ราบสูงขอนแก่นบอกว่า ปีนี้แหละ iOS 5 มาชัวร์ ไอ่ครั้นผมเองก็ไม่เชื่อซะทีเดียว เพราะว่า iOS 4 เองก็ออกได้ไม่นานนี้เอง ที่ไหนได้ มันมาจริงๆ อย่างที่เฮียแกบอก พร้อมความ surprise ที่ถูกยัดใส่มาเพียบ
สำหรับผมแล้ว iOS 5 หลังจากที่ได้รู้ 10 features ที่ถูกยัดมา รวมไปถึงอย่างอื่นที่พอได้ทราบจากข่าวหลักการแถลงข่าว สิ่งแรกที่ผมคิดเลยคือ ผมคุ้นๆว่า มี app บางตัว มีอยู่แล้วบน Cydia ซึ่งต้องอาศัยการ Jailbreak เท่านั้น โดย app นั้นต้องซื้อไม่ต่างจากการซื้อ App แท้ๆ ผ่าน App Store
ถามว่ามันดีใหม่ในแง่คนใช้ มันดีครับ เพราะของดีดีใน Cydia มีให้เลือกใช้เยอะมาก หลายๆ อย่าง Apple ควรจะทำมาใส่ให้เราได้ใช้ได้แล้ว
แต่มองอีกด้าน มันเป็นการดึงความคิดมาทำเองเลย ไม่ว่าจะเป็นของคู่แข่งเจ้าอื่น(ผมไม่ขอพูดแล้วกันนะครับ เพราะเบื่อดราม่าการข่มกัน) หรือ Dev ที่มักโดน Apple ขโมยความคิดไปต่อยอดเอาเอง
นอกจากจะโชคดีจริงๆ อย่างเช่นในกรณีที่ Apple ว่าจ้างคนที่พัฒนา app ใน Cydia มาพัฒนาของตัวเองซะเลย
…แต่คนกินรวบคงหนีไม่พ้น Apple ที่รับหน้า รับความดีความชอบไปเน้นๆ 😛
สำหรับ feature ที่ผมชอบก็มี Notification Center ที่ช่วยแจ้งเตือนทุกอย่างหลบมุมที่ด้านบนของหน้าจอ ไม่กวนการใช้งาน, กล้องที่มาพร้อมกับ Feature ที่มากกว่าแค่การถ่ายรูป นั่นคือสามารถแต่งรูปได้โดยไม่ต้องใช้ app ใดๆ เพิ่ม (รวมไปถึงอาจถ่ายภาพ panorama ได้ด้วยแต่ยังไม่เปิดให้ใช้งานตอนนี้)
และอันที่ผมชอบมากที่สุดคือ PC Free ที่ต่อไปนี้เราจะไม่ต้องเสียบสายเพื่อทำการ Sync ข้อมูลอีกต่อไปแล้ว (ยกเว้นการเสียบชาร์ตไฟเข้าไปนะครับ) หรือถ้าพูดแบบเข้าใจง่ายๆ ก็คือใช้ WiFi ในการ Sync ข้อมูล ซึ่งรวมไปถึงการ update firmware ก็ไม่ต้องเสียบสาย กดผ่าน iPhone up ผ่าน WiFi ได้ทันที ซึ่งถ้ามองประโยชน์แล้ว สำหรับคนสูงอายุที่มีปัญหาการเข้าใช้งานแก้ไขอะไรต่างๆ เค้าไม่ต้องเปิดคอมเพื่อกดหลายๆอย่าง เค้าสามารถทำผ่าน iPhone/iPad ของเค้าได้เลย เพียงแค่มีการเชื่อมต่อกับ WiFi เท่านั้น
…แต่สุดท้าย PC Free Apple ก็ได้ความคิดมาจาก developer ที่ทำขาย app ใน Cydia เช่นกัน
จริงๆ สำหรับผมแล้ว สิ่งที่ผมและใครหลายคนอยากได้นั่นคือ iBlacklist ที่เอาไว้จัดการ Block เบอร์ที่ไม่ต้องการรับสายได้ ซึ่งต้องไปหาใน Cydia เท่านั้น ทุกวันนี้ผมต้องเมมเบอร์ที่ไม่อยากรับสายแล้วใส่ชื่อเป็น Block เป็นสิบสิบชื่อหล่ะ ซึ่งก็แต่ก็ไม่เห็นจะมีพูดถึงใน iOS 5 เลย …เศร้ากันไป
และข้อสังเกตสุดท้ายของผม คือการทิ้งช่วง iOS 5 ที่จะออกมาให้ใช้งานจริงๆ เดือนกันยายน (อย่างเร็วที่สุด) อาจจะเป็นช่วงเวลาเดียวกันในการเปิดตัว iPhone next gen ที่ไม่รู้ว่าจะเป็น 5 หรือ 4s
สรุป – ผมคงไม่ผิดอะไรที่จะบอกว่า iOS 5 เทียบได้กับการเอาหวยใต้ดินมาขายบนดินนั่นเอง รอกดโหลดกันครับ โช๊ะ…
iCloud – ไอ้คล้าวก้าวสู่เมฆเต็มสูบพร้อมวาระซ่อนเร้นเล็กๆ
กระแสเทคโนโลยีช่วงนี้คงไม่มีอะไรที่จะฮิตไปกว่าการขึ้นไปบนก้อนเมฆ หรือ Cloud ที่จะยัดทุกๆ อย่างไปเก็บไว้นอกเครื่อง เพื่อให้ได้ใช้งานที่ไหนก็ได้ในโลก ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกับ internet
สารภาพว่าผมรู้จัก สิ่งที่เป็น Cloud จริงๆจังๆ ก็เพียงแค่ Dropbox บริการฝากไฟล์ ที่ผมว่าโคตรสะดวกจริงๆ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนของโลกก็ได้ใช้ไฟล์เดียวกันแบบสบายๆ (ยกเว้นที่ทำงานผม เพราะบล๊อคไม่ให้ใช้งาน)
การ Apple เข้ามาเหมือนเป็นประธานในพิธีทำการเปิดงานศึก Cloud ชิงแชมป์โลก เพราะหลังจากนี้ทุกบริษัทที่ยังไม่เริ่มขยับตัว และขยับตัวไปก่อนหน้าอย่าง Amazon คงได้เปิดศึกฟัดกันมันขึ้น
iCloud ในความเห็นผมก็คือ Dropbox ที่ใช้ได้บน Mac และ iOS เท่านั้น ด้วย concept โยน/ลบที่เดียว Sync หมดวงเหมือน Dropbox
แต่ประเด็นที่ผมจับมันอยู่ที่ว่า Apple ใช้คำว่า Free มายั่วเรา คล้ายปล่อยหมัดฮุกใส่พุง …
โดยสิ่งที่ Jobs พูดแบบเลี่ยงๆ นั่นคือ การให้พื้นที่จัดเก็บข้อมูล 5GB ไปใช้กันอย่างฟรีๆ และในขณะที่เราร้องว้าวกับของฟรีด้วยสบถคำต่างๆ นั้น ก็มีมีดอกจันเล็กๆ ตรงเลข 5GB ใหญ่ๆ ว่าไม่รวมการเก็บรูป รวมไปถึงหากใช้ข้อมูลมากกว่า 5 GB แล้วจะคิดค่าเสียหายเพิ่มเติมเท่าไหร่
แต่นั่นก็คือเทคนิคการ presentation keynote ของ Jobs ด้วยการโปรยคำว่า Free ไปก่อนหน้านั่นเอง
ส่วน iTunes Music นั้นตอนแรกผมฟังตอน Jobs พูดแล้วไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่พอมาอ่านบทความของพี่ซัน (มีระบุ Link ด้านล่าง) นี่ Apple มันจะเขย่าโลกของวงการลิขสิทธิ์เพลงจริงๆ ไม่ว่าจะด้วยการแอบมารื้อเพลงเราแล้วจิ๊กไปเป็นของ Apple แล้วไปเพิ่ม Bit Rate แล้วเอามาปล่อยต่อแบบถูกลิขสิทธิ์อย่างเนียนคลิก
ถามว่าฉลาดไหม โคตรฉลาดครับ Apple…
แต่ความสงสัยแบบกวนทีนของผมคือ แล้วเพลงไทยหล่ะ? Apple เค้าจะแอบเอาของเราไปด้วยไหมนะ? คำตอบในใจผมคิดว่าคงไม่…นั่นคือเวลา Scan ใน Library ของเราอาจต้องมีการ ignore ทิ้ง เพราะไม่ได้เซ็นกับแนวเพลงแกรมมี่และอาร์เอสไว้ (คิดแบบเดาเอาล้วนๆ นะครับ)
และราคานั้น $24.99 หรือ 750 บาทต่อการดึงเพลงมา 20,000 เพลงต่อปี ลองหารมาให้เจ็บปวดเล่นก็ตกเพลงละ 0.0375 บาท …ไม่ถึง 10 สตางค์ต่อเพลง
ด้านนึง คนคงร้องว้าว(อีกแล้ว)ว่า สบายหล่ะ 750 ถูกกว่า Smart Cover iPad2 ครึ่งนึง แต่ได้เพลงตั้ง 20000 เพลงแหนะ คุ้มครอดครอดพี่น้อง
แต่ผมขอยืนอยู่อีกฝั่งนะครับ การที่เหลือราคาต่อเพลงเพียงแค่นี้ แม้ผมจะไม่ได้ทำอะไรเกี่ยวกับอุตสาหกรรมเพลง เว้นแต่เป็นผู้ฟัง แต่ผมรู้สึกได้ถึงว่า เพลงถูกลดคุณค่าด้วยการตั้งราคาและวิธีการของ Apple ในครั้งนี้…
จบแบบดื้อๆครับ ส่วนนี้ ไม่สมกับเป็น One More Thing เล้ย
แถมบลอคข้อมูลและมุมมองท่านอื่น
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมของ iCloud แบบลึกๆ ลองตามอ่านบลอคของ @khajochi ว่าที่เจ้าบ่าวเขียนได้ครับ เขียนได้ดีและกระจ่างมากกว่าผม 3 แสนปีแสง iCloud ในมุมมองนักพัฒนาโปรแกรม (My Thought on iCloud)
มีเพิ่มเติมสำหรับข้อมูล iCloud และ iTunes Cloud ที่เขียนโดยพี่ซัน @art3t ด้วยมุมมองของคนที่อยู่ในอุตสาหกรรมเพลงจริงๆ ซึ่งมองได้ชัดเจนกว่าผมเยอะ ผมเลยอยากแนะนำให้ไปอ่านครับ กับบทความนี้ Apple จะเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมเพลงโลกด้วย iTunes in Cloud อีกครั้ง?
สรุป
งานนี้ WWDC 2001 จบด้วยการไม่มีการเปิดตัว Hardware ใหม่ๆ มีเพียงแต่ Software และ Service มาให้เหล่าสาวกร้องว้าววว (ผมก็ด้วย ยกเว้นตัวสุดท้าย) และพร้อมไปใช้งานกันในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า
สำหรับ Cloud นั้น น่าติดตามมากๆ นะครับตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป เพราะอย่างที่ผมบอก ศึกนี้เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ Jobs พูดวันแรกครับ และสิ่งที่น่าสนใจของ Cloud คือความปลอดภัย (Security) ที่ผมรับประกันได้เลยว่า Trend รวมจะต้องมีทั้งคู่นี้แน่นอน (ใครเชี่ยวเรื่องนี้ รับประกันอยู่กันได้ยาวๆ ครับ)
…ขอย้ำอีกที ใครอ่านแล้วคิดว่าข้อมูลนั่นผิดแผกแปลกไป แจ้งผมได้เลยนะครับ ผมยินดีน้อมรับคำติชมจริงๆ ครับ ^_^
แถม 2 นาทีกับงาน WWDC 2011
[youtube=http://www.youtube.com/watch?v=WvLbBF5uGKc]