สวมหมวกหลายใบ ดีกว่าใส่ใบเดียวใบเดิม
สารภาพว่าคิดและตั้งใจจะเขียนหัวข้อนี้นานมากแต่ก็ไม่ได้เขียนสักที วันนี้ก่อนนอนพอจะมีเวลาเลยคิดว่ามาเขียนให้ draft ที่ค้างอยู่หลังบ้านและในหัวได้หายไปสักหน่อยน่าจะดี ว่ากันด้วยเรื่องหมวกครับ
สารภาพว่าคิดและตั้งใจจะเขียนหัวข้อนี้นานมากแต่ก็ไม่ได้เขียนสักที วันนี้ก่อนนอนพอจะมีเวลาเลยคิดว่ามาเขียนให้ draft ที่ค้างอยู่หลังบ้านและในหัวได้หายไปสักหน่อยน่าจะดี ว่ากันด้วยเรื่องหมวกครับ
เปิดชื่อหัวข้อก่อนจะเริ่มลงมือเขียนด้วยความคิดถึงเพลงในเธียเตอร์ BNK48 ซะอย่างนั้น แต่สาระสำคัญของบล็อกนี้กลับกลายเป็นคำถามที่เข้ามาในหัวตัวเองอยู่เรื่อยๆ ในช่วงเวลานี้ นั่นคือ ถ้าเรามีโอกาสหรือได้รับการชวนจากคนรู้จักในที่ทำงานที่เราเคยลาออกมาแล้วเราจะกลับไปหรือเปล่า
ณ วันที่เริ่มพิมพ์บล็อกนี้ก็ผ่านมาวันที่ 9 ของเดือนที่ 2 ปี 2566 แล้ว ช่วงปีสองปีที่ผ่านมาเป็นปีที่ผมทุลักทุเลมากในทุกเรื่อง ทั้งชีวิต การงาน ซึ่งที่ผมได้ไปดูดวงมาเมื่อปีก่อนและปีที่แล้ว สิ่งที่ถูกทำนายออกมาก็เป็นไปตามนั้นเลย แบบไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ และในช่วงปีสองปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่ผมอายุเลข 4 นำหน้าก็มีเรื่องนึงที่ผมหยิบเอามาคิดนั่นคือเรื่องความตาย และวันที่ผมกำลังพิมพ์อยู่นี้ เรื่องนี้ก็ผุดมาอีกครั้ง
Face to Face (F2F) หรือการพบเจอกันแบบเห็นหน้ากันแบบตัวต่อตัว หลายคนคงจะคิดว่ามันก็คือเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ ใช่ครับ มันคือเรื่องปกติมาก โดยเฉพาะในช่วงก่อนที่จะมีโควิด พอโควิดมาถล่มโลก Face to Face กลายเป็นของหายากไปเลย และเริ่มจะกลับมาเจอหน้ากันแต่ก็ด้วยความถี่ที่ไม่เหมือนเดิม
ปกติในหมวดไอดอลที่ผมเขียนจะเป็นการตามรอยสถานที่ต่างๆ ซะเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจะเป็นการขึ้นไปเชียงใหม่แทบทั้งนั้น แต่บล็อกนี้ขอพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับอีกวงที่ผมชอบวิธีการดูแลแฟนคลับและผมเองก็ได้เห็นการเติบโตของฐานแฟนคลับวงนี้ นั่นคือ HatoBito
เมื่อเข้าใกล้สิ้นปี การได้ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นมาตลอดทั้งปีน่าจะเป็นกิจกรรมหนึ่งที่ทุกคนได้ย้อนระลึกถึง บ้างก็กราฟพุ่งทะลุเพดานบ้าง บ้างก็ชงแบบเข้มไม่มีเหตุผล หรือบางคนก็เหมือนรถไฟเหาะตีลังกาไถขึ้นม้วนลงสลับกันไป
“สึสดีค่าทุกคน คุณอยู่กับฟาโรส และนี่คือไกลบ้านค่ะ” ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบดูคอนเทนต์ท่องเที่ยวน่าจะคุ้นเคยประโยคทักทายนี้อย่างแน่นอนเพราะเป็นประโยคเริ่มต้นรายการ ไกลบ้าน ใน YouTube Channel FAROSE
ขึ้นไปเชียงใหม่ทั้งทีก็ต้องไปให้คุ้ม! แน่นอนว่าการไปเชียงใหม่ของแต่ละคนย่อมมีวัตถุประสงค์ที่ต่างกันไป ส่วนใหญ่ก็จะไปเที่ยวในเมือง กินอาหารพื้นเมือง ขึ้นดอยเก็บความเย็นของอากาศ และอื่นๆ แต่สำหรับผม ช่วงปีสองปีหลังนี่ไปบ่อยมาก จนน้องๆ ที่รู้จักถามว่า “ถามจริง พี่มีแฟนที่เชียงใหม่เหรอ” ผมก็ได้แค่ขำไป เพราะคำตอบจริงๆ มีแค่สองอย่างคือ ไปวิ่ง กับ ไปตามไอดอล CGM48 ครับ! (บิดตัวเขิน 48 องศา)
ดูหนัง คือกิจกรรมนึงที่ผมชอบมาก ไม่ว่าจะเป็นที่โรงหนัง หรือจะอยู่ในทีวีที่บ้านตามบริการสตรีมมิ่งที่ตัวเองสมัครไว้ แต่ถ้าให้เลือกจริงๆ การดูในโรงหนังย่อมได้ประสบการณ์ที่ดีกว่า ไม่ว่าจะด้วยภาพ ระบบเสียงกระหึ่ม เบาะนุ่มๆ และป๊อปเป้อ เอ้ย ป๊อปคอร์น ที่ผมชอบกินหมดตั้งแต่หนังยังไม่ฉาย แต่ก็ต้องแลกกับค่าใช้จ่ายที่แพงพอสมควรในยุคนี้
ตั้งชื่อเหมือนจะเป็นคนเก่งเคมีแต่เปล่าเลย ได้ D กับ D+ มาตอนเรียน ป.ตรีพร้อมกับพื้นฐานการท่องตารางธาตุหมู่ 8 ได้หมู่เดียวทั้งชีวิต