คุยกับนักจิตวิทยาคลินิกครั้งแรกบน ooca

วันเสาร์ที่ผ่านมาผมได้ลองใช้ ooca ครั้งแรกหลังจากที่อยากใช้มานาน พอได้ใช้แล้วมุมมองผมเปลี่ยนไปเยอะพอสมควรจากการแนะนำโดยนักจิตวิทยาคลินิกที่ผมคุยด้วย เย้ จบแล้วครับบล็อกนี้… เดี๋ยวๆ ยังครับยัง ยังไม่จบ

บล็อกนี้ไม่ได้รับการสนับสนุนใดๆ ทั้งสิ้นครับ เป็นการใช้งาน ooca โดยความสมัครใจของผม รวมทั้งมีการเสียค่าบริการตามเรทราคาปกติ

เพื่อไม่ให้เรื่องมันสั้นเกินไป ผมเลยขอย้อนความก่อนที่ผมจะกดนัดหมายและได้พูดคุยในบล็อกนี้ (จะพยายามไม่ให้ยาวมากและขอสงวนเนื้อหาบางส่วน ไม่บอกเล่าทั้งหมดนะครับ)

ถ้าย้อนกลับไปสัก 5 ปีได้ ผมเคยได้รับคำแนะนำจากน้องที่รู้จักคนนึงที่เห็นสภาพผมในตอนนั้นว่าย่ำแย่ทั้งกายภาพและด้านจิตใจ ว่า พี่ลองไปคุยกับหมอที่จุฬาไหม เป็นคลินิกให้คำแนะนำเรื่องปัญหาเกี่ยวกับจิตใจโดยเฉพาะเลย ตอนนั้นผมบอกว่าอยากไป พยายามหาข้อมูล อ่าน Pantip ทุกอย่าง แต่ในตอนนั้นใจก็ยังกลัวที่จะไป ลังเลจนสุดท้ายก็ไม่ได้ไปหา แต่ข่าวดีก็คือหลังจากผมตัดสินใจออกจากงาน อาการทุกอย่างก็กลับมาดีขึ้นจนแทบเป็นปกติ และแทบจะสรุปได้ว่าสาเหตุหลักเกิดจากการจัดการเรื่องงานของผมเลย

ในระหว่างทางหลังจากที่ผมเริ่มกลับมาเป็นปกติ ผมได้เริ่มกิจกรรมเพิ่มเติมกับตัวเองนั่นคือ การสำรวจจิตใจตัวเองอยู่เรื่อยๆ ช่วงที่เราโอเคจะไม่มีอะไร แต่ถ้าเราเริ่มไม่โอเคเราต้องยอมรับว่าเราไม่โอเค ซึ่งมันก็ช่วยได้ระดับนึงเลยนะแต่ก็ไม่ได้แบบ 100% แค่เราสามารถยอมรับสภาพและสภาวะของตัวเราปัจจุบันได้

ภาพตัดมาสู่ปัจจุบัน ผมเริ่มกลับมารู้สึกเฟลๆ อีกครั้ง ไฟเริ่มมอดจนให้คำนิยามกับตัวเองว่า burnout ไปแล้วเรียบร้อย ซึ่งก็ด้วยหลากหลายสาเหตุที่ตัวเองพอจะหาเจอ ในระดับที่ว่าพอวันอาทิตย์ค่ำๆ แล้วไม่อยากนอนให้เจอกับเช้าวันจันทร์เลย หรือที่เรียกว่า Monday Blues

มันไม่ได้เป็นแค่สัปดาห์เดียว แต่มันเป็นระดับเดือนจนลามมาถึงอาการนอนไม่หลับก็กลับมา เลยคิดว่าน่าจะถึงเวลาแล้วที่ต้องคุยกับคุณหมอหรือนักจิตวิทยาคลินิก แต่เราจะไปพบหมอแบบ F2F (Face To Face) ก็ยังรู้สึกว่าเรายังไม่อยากกับครั้งแรกที่ต้องคุย และตอนนี้ก็มีทางเลือกแล้ว นั่นก็คือ ooca

ทำไมสำนวนมันเหมือน advertorial เลย ซึ่งไม่ใช่นะครับ ยืนยันจริงๆ

ผมรู้จักกับ ooca มานานแล้ว เพราะเคยได้ไป Startup Camp ที่โคราช แล้วเจอกับหมออิ๊ก ผู้ก่อตั้ง ooca เป็น 1 ใน coach เหมือนกัน เลยได้พูดคุยและทดไว้ในใจว่ามี service แบบนี้ รวมไปถึงก็มีข่าวคราวเกี่ยวกับ ooca บ่อยขึ้น ก็เลยเป็น Top of Mind ถ้าคิดถึงเรื่องนี้

หลังจากที่ผมกังวลจนคิดว่าถึงเวลาแล้ว ก็เลยดาวน์โหลดแอป ooca มาเลย แล้วก็ลงทะเบียนและเริ่มหาหมอ, นักจิตวิทยาคลินิก ภายในแอป และแน่นอน เนื่องจากเราใช้ครั้งแรก เราก็เลย concern เรื่องรีวิวและราคาเป็นเรื่องหลักๆ จนสุดท้ายนัดวันเวลาและนักจิตวิทยาคลินิกท่านนึงเรียบร้อย จ่ายเงินเสร็จสรรพ โดยผมเลือกวันพูดคุยในช่วงวันเสาร์เพื่อให้สบายใจในการ Call ที่ห้อง

ก่อนถึงเวลาผมกลับตื่นเต้นแฮะ คงเพราะเราไม่เคยต้องปรึกษากับคนที่เชี่ยวชาญเรื่องนี้เลยและส่วนใหญ่ผมก็จะคุยแต่กับคนสนิทๆ เท่านั้น พอใกล้ถึงเวลานักจิตวิทยาคลินิกที่ผมนัดไว้ก็เข้ามารอแล้วจาก notifacation ที่เด้งขึ้นมา ซึ่งก็เป็นเวลาก่อนนัดจริงประมาณ 3 นาที ผมเลยไม่รอช้ากดเข้าไปไล่ๆ กัน และก็เริ่มเปิดกล้องสนทนากันทันที

ตอนเปิดมาผมไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไง คุณหมอ (ขอเรียกเป็นคุณหมอนะครับ) ก็เริ่มชวนเราคุย ซึ่งมันก็เป็นลักษณะ icebreaking แบบเร็วๆ เพราะด้วยเวลาที่จำกัดประมาณนึง ไม่นานผมก็เครื่องติด เหมือนก็อกน้ำบิดสุดที่มีน้ำประปาพุ่งออกมา ซึ่งก็คงเป็นเพราะแนวทางคำถามที่พร้อมแคะแงะสิ่งที่เราคิดอยู่ในใจออกมา และด้วยน้ำเสียงของคุณหมอในการพูดคุยที่เป็นเหมือนเพื่อนคอยรับฟังเรื่องของเรา มันทำให้ผม relax มากขึ้น และยิ่งมากเท่าไหร่ผมก็ยิ่งระบายสิ่งที่คับข้องใจออกมาได้เรื่อยๆ

สิ่งที่ผมพูดออกไปสามารถล้วงไปถึงเรื่องอดีต โดยเฉพาะความรู้สึกนึกคิดของผม ซึ่งมันเหมือนปมของผมที่ผมยังไม่สามารถคลายออกมาได้เลย ถ้าเหมือนแผลมันก็เหมือนเป็นแผลเป็นที่เราไม่ค่อยเห็นแต่เวลาเราถกแขนเสื้อเราถึงจะเห็นเพราะมันติดตัวเรามาตลอดและคิดว่าไม่มีทางรักษาหายได้เลย แต่พอได้พูดคุยกับคุณหมอแล้ว คุณหมอพยายามให้มุมมองและชี้ทางในอีกทางนึงให้เราสามารถที่จะให้ความสนใจมากกว่าการมีของแผลเป็นที่เป็นอยู่ได้พอสมควร ถ้าจะบอกว่าเบนความสนใจก็อาจจะประมาณนั้นได้ แต่ก็ยังพยายามทายาให้กับแผลเป็นให้มันจางลงอยู่นะ

บทสนทนาเป็นไปอย่างต่อเนื่องจนมันเกินเวลานัดจาก 30 เป็นเกือบๆ 45 นาที แต่มันเป็น 45 นาทีที่ผมได้เจอกับหนึ่งในสาเหตุที่ผมจมกับสิ่งที่ผมอยู่ด้วยมา 4-5 ปี และก็ได้รู้ว่าความสุขที่ผมมีอยู่นั้นคืออะไร ซึ่งหนึ่งในนั้นคือสิ่งที่ผู้อ่านกำลังอ่านนี่เอง 🙂

ก่อนจบบทสนทนา ผมพูดขอบคุณไปหลายรอบมาก เพราะสิ่งที่คุณหมอบอกมันไปแงะสิ่งที่คาใจของผมมานานจริงๆ และยังช่วยให้ผมมั่นใจได้ว่าสิ่งที่ผมจะทำแล้วสามารถมีความสุขนั้นคืออะไร

หลังกดปิดการสนทนา ผมนั่งนิ่งๆ ในห้องเงียบๆ ร่วม 10 นาที จ้องหน้ามือถือตัวเองแล้วน้ำตาก็ไหลออกมาเอง มันรู้สึกปลดล็อกแม้จะไม่ได้ทั้งหมด แต่ผมก็โคตรดีใจที่ได้รับรู้สิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ ก่อนที่จะลุกไปหยิบของที่เตรียมไว้เพื่อเอาไปบริจาคที่มูลนิธิกระจกเงาก่อนที่จะถึงเวลาปิด

และระหว่างทางที่ขับรถไป ผมก็มานึกย้อนกลับช่วงที่คุยกับคุณหมอ พบว่าจริงๆ แล้วเราน่าจะต้องการคนฟังสิ่งที่เราอยากจะบอก ซึ่งเราสบายใจที่จะบอก และยังได้แนวทางจากผู้เชี่ยวชาญที่เขามีประสบการณ์และแนวทางในการพูดคุยเพื่อให้เรามาคิดต่อและดำรงชีวิตต่อได้ด้วย


นี่อาจจะเป็นการตัดสินใจที่ดีมากครั้งนึงที่ได้ใช้บริการ ooca และดีใจที่มีบริการนี้อยู่ในไทย ในอนาคตอันใกล้ผมคงได้ใช้บริการอีกหากผมเช็กหัวใจแล้วพบว่าตัวเองไม่โอเคอีกครั้ง แต่ผมก็ยังอยากจะไปพบคุณหมอแบบตัวเป็นๆ มากกว่า เพราะผมยังเชื่อในการพบเจอหน้าแบบ Face 2 Face มากกว่าการเจอกันบนหน้าจอมือถือ

แต่การได้ใช้บริการนี้ก็เพิ่มความกล้าให้ผมอยากไปพบหมอหรือนักจิตวิทยาคลินิกในเร็ววันนี้

ย้ำอีกทีว่าไม่ใช่ advertorial แต่เป็นการใช้งานของผมจริงๆ ครับ ใครสนใจก็ลองได้ครับที่ ooca.co

ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ 🙂

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.