ผมจะวิ่งไหวไหมน้า…

วันที่เขียนบล็อกนี้เป็นวันหยุดบริษัท ผมเลยได้พักสมองเล็กน้อยจากหลายสิ่งผมได้เจอในช่วงที่เว้นจากการเขียนบล็อกไปร่วม 2 เดือน แต่บอกเลยว่าผมเปิดหน้าเขียนบล็อกค้างไว้ร่วมชั่วโมงแบบ blank ไม่รู้จะเริ่มเขียนยังไงดี ทั้งๆ ที่ก็มีหลายเรื่องหลายหัวข้อที่อยากเขียนอยากเล่าในแบบที่เล่าได้ แต่นั่นแหละครับ มันช็อต…

เรื่องการเขียน ยังคงเป็นสิ่งที่ผมชอบและมีความสุขมากในการทำ แม้จะมีคนอ่านเป็นเราแค่คนเดียวก็ตามที แต่สิ่งที่ได้คือการเรียบเรียงความคิดและทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นและความรู้สึกของตัวเอง ซึ่งผมก็ทำออกมาแบบสบายใจ และก็คลายทุกข์ไปได้บางส่วนหากในช่วงเวลานั้นผมทุกข์

พอมาคิดทบทวนดูในช่วงเกือบ 2 เดือนจากบล็อกว่างงานล่าสุด ผมว่าช่วงนี้คือช่วงที่ผมกลับมาสู่สภาวะท็อปฟอร์มด้านความทุกข์อีกรอบ ซึ่งสาเหตุก็คงเป็นเส้นทางใหม่ด้านการงานของผม ที่ผมเพิ่งจะเคยทำงานในลักษณะนี้มาก่อนและกลายเป็นว่าผมกลับมาเครียดมากและมากขึ้นในทุกๆ วัน เครียดสะสมยังกับบัตรแสตมป์ชานมไข่มุกยังไงยังงั้น

ความไม่คุ้นเคย ความเร็ว ความเร่ง กับ pace learning curve ของผมมันคงไม่เข้าคู่กัน แต่ผมเองก็พยายามปรับอัตราเร่งให้ดีขึ้นแบบไล่ๆ ตามกันมา แต่ก็ยังไม่ดีสำหรับผมเท่าไหร่นักเพราะมันยังคงไม่ทัน นี่ไม่รวมถึงสภาพแวดล้อมที่ผมรู้สึกอึดอัดในการที่จะทำให้มันดีขึ้น

พอเป็นแบบนี้ผมเลยต้องเช็กตัวเองว่าเป็นยังไง จริงๆ แล้วผมควรเช็กทุกวันเรื่อยๆ เมื่อเจอสภาพที่ไม่ปกติ แต่ไปๆ มาๆ เพิ่งจะได้คุยกับตัวเองเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าเป็นยังไงบ้าง และก็พบว่าร่างกายตัวเองป่วยง่ายขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก จากคนที่แทบจะเลิกกินยาพาราก็กลับมากินยาพาราอีกรอบ ทั้งระหว่างวันและก่อนนอน กลับมาพ่นสเปรย์หมอนเพื่อให้ตัวเองนอนเพราะไม่อย่างนั้นแล้วคือกว่าจะได้นอนคือตี 3-4 ประจำ (วันที่เขียนนี่ก็หลับๆ ตื่นๆ เพราะพยายามจะไม่กินยาดู สุดท้ายนอนได้ 2 ชั่วโมงถ้วน)

ทุกวันนี้กลับจากที่ทำงานผมวางกระเป๋า กินพารา แล้วพุ่งไปที่เตียงเลย เพราะไม่อยากทำอะไรแล้วแม้แต่ขยับตัวเปลืองพลังงาน แต่กว่าผมจะได้นอนก็ตามเวลาที่ผมบอกไปข้างต้นเลย

พอถึงเสาร์อาทิตย์ ผมปลดปล่อยทุกอย่าง เน้นหาความสุขเพื่อชดเชยแบบตั้งตารอ นอนเน่าอยู่ห้อง, ขับรถไปไหว้พระ, ไปดูหนัง, กิน(ตี๋น้อย 3 สัปดาห์ติดกัน), ไปงานไอดอลเท่าที่ไปได้, หรือแม้กระทั่งการไปเดินห้างแบบให้ได้เดิน (นึกถึงหมออิมที่คุยกับยุ่นในเรื่อง ฟรีแลนซ์ ว่า “ไปสยามเพื่อไปสยาม” มันเป็นความรู้สึกนั้นเลย) รวมไปถึงกลับบ้านโคราชเพื่อไปดูอาการของป๊าที่ยังเจ็บๆ หลังอยู่บ้าง

และก็กลับมาผวาเมื่อถึงเย็นวันอาทิตย์ และก็วนลูปแบบเดิมๆ

แต่ข่าวดีนิดนึงสำหรับผมคือ การเอาการวิ่งกลับเข้ามาในชีวิต(ลูป) และเช้าวันนี้ผมกลับมาวิ่งอีกครั้งในรอบเดือนครึ่งหลังจากที่ DNF งาน Thailand Ultra Marathon 2023 ไป แม้จะเป็นการวิ่งที่ผมนอนไม่ค่อยพอ แต่พอกลับมาห้องได้อาบน้ำก็รู้สึกสดชื่นขึ้นแบบแตกต่างจากที่เป็น และเป็นการบังคับตัวเองให้ไปวอร์มขาบ้างเพราะจะมีงานวิ่งที่ต่างจังหวัดเร็วๆ นี้

ซึ่งผมก็กลัวว่าจะวิ่งไม่จบนี่แหละ เลยต้องกลับมาซ้อมวิ่งก่อน


จากสภาพผมที่เหมือนติด Loop ที่ยังไม่มีจะเจอเงื่อนไขใดให้ออกจากวังวนนี้ การกลับมาเช็กตัวเองและพบว่าตัวเองเริ่มไม่ไหว เหมือนกับเป็นจุด checkpoint ที่ต้องทบทวนอะไรหลายๆ อย่าง แต่การทบทวนก็ยังคงต้องก้าวเดินให้มี progress ต่อด้วย ไม่อย่างนั้นมันจะหยุดไปหมดซึ่งมันจะไม่ดีในแง่ของความรับผิดชอบ

การบริหารจัดการทั้งเรื่องงานและอารมณ์ผมต้องทำควบคู่กันไป บวกกับต้องหาอะไรมาเติมไฟเพื่อให้มีพลังงานขับเคลื่อนต่อไปได้ด้วย

เหนื่อยจัง…

ผมเองไม่รู้ว่ารันเวย์ของเส้นทางนี้จะยาวแค่ไหน แต่ผมก็คงต้องวิ่งต่อไปแบบไฟต์แกมบังคับ ซึ่งผมกลัวอยู่อย่างเดียวคือ ถ้าร่างกายมันกลับมาแย่ลงเหมือนที่เคยเป็นเมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นผมคงต้องขอเห็นแก่ตัว หยุดพักวิ่ง แล้วเดินด้วย pace และตาม passion ของตัวเองมากกว่า

เพราะผมยังอยากอยู่กับน้องสาว อยากไปงานรับปริญญาโทของน้องครับ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.