
ขอสารภาพตามตรงว่าผมเป็นคนชอบเข้าร้านหนังสือ ซื้อหนังสือมากระดับโรคจิต คือถ้าได้เข้าร้านจะต้องมีโดนแน่นอนสักเล่ม แต่สิ่งตรงข้ามกันก็คือ ผมไม่ค่อยชอบอ่านหรืออ่านได้ไม่ทนเท่าไหร่ ทำให้หนังสือกองแทบจะทับตัวผมอยู่แล้ว โดยเฉพาะหนังสือเกี่ยวกับการตลาด และการพัฒนาตัวเอง
เดือนมีนาคม ผมเจอ Facebook โพสต์นึงของอาจารย์กฤตินี หรือที่หลายๆ คนอาจจะพอคุ้นๆ นามปากกาว่า เกตุวดี Marumura ว่าผลงานเขียนล่าสุดเกี่ยวกับการตลาดกำลังจะวางขายแล้วและเปิดให้จอง ซึ่งชื่อว่า Makoto Marketing หลักสูตรการตลาดแบบจริงใจสไตล์ญี่ปุ่น ซึ่งผมก็ไม่รอช้าที่จะสั่งซื้อทันที เพราะด้วยความที่ผมเองชื่นชอบงานเขียนของอาจารย์เกตุ (ขอเรียกสั้นๆ นะครับ) อยู่แล้วเป็นทุนเดิม เพราะมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับการตลาดและญี่ปุ่นอยู่ด้วยกัน ทำให้ผมรู้สึกว่าจะต้องมีเรื่องที่อ่านจากหนังสือเล่มไหนไม่ได้แน่ๆ
รวมทั้งถ้าผมรู้จักหรือเคยพูดคุยกันแล้ว ผมยินดีที่จะอุดหนุนด้วยตัวเอง ส่วนนึงเป็นเพราะผมเคยเขียนหนังสือมานานแล้วและเข้าใจอย่างดีถึงความยากลำบากในการผลิตงานเขียนสักชิ้นนึง การอุดหนุนคือสิ่งที่ช่วยเพิ่มกำลังใจให้กับผู้เขียนได้ดีที่สุด
เอาล่ะ มาพูดถึงหนังสือดีกว่า
บทความนี้เป็นความตั้งใจที่จะเขียนถึงโดยผมเองล้วนๆ ไม่ได้รับการสนับสนุนใดๆ ทั้งสิ้น
ถ้าว่ากันด้วยการตลาด หนังสือที่ออกมาส่วนใหญ่ก็จะเป็นในเชิงของหลักการหรือมีเนื้อหาหนักหนักที่เราอาจจะรู้สึกว่าอ่านแล้วมันดูน่าเบื่อหรือเป็นทฤษฎีมากจนเกินไป และคนที่จะเข้ามาอ่านก็คงจะคาดหวังว่าสิ่งที่เค้าจะได้กลับไปก็คือสูตรลัดหรือวิธีการต่างๆ ที่จะทำให้ธุรกิจเขาสามารถเติบโตได้ดีขึ้นกว่าเดิมผ่านวิธีการแก้ไขปัญหาแบบขั้นตอน 1-2-3-4-5 ก็ว่ากันไป
และบ่อยครั้งการตลาดก็ถูกแทนที่ด้วยคำว่าการทำโปรโมชั่น ซึ่งถ้าถามว่ามันใช่ไหม ก็ใช่อยู่ดี เพราะว่ามันคือหนึ่งใน 4Ps
Makoto Marketing มีการพิมพ์ว่า 4Ps ครั้งเดียวเองมั้งถ้าผมจำไม่ผิด
แล้วจะเล่าเรื่องอะไรหล่ะ ถ้าไม่ใช่เรื่องนี้?
เนื้อหาภายในเล่มนั้นประกอบไปด้วยเรื่องราวที่เกิดขึ้นในบริษัทในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมันเกี่ยวกับการตลาดแน่นอน แต่เป็นการตลาดที่เริ่มต้นกันตั้งแต่รากฐานทางความคิดเลย ซึ่ง ความเชื่อส่วนตัวของผมทุกทุกอย่างถ้าไม่มีรากฐานที่ดีการก้าวต่อไปหรือการทำสิ่งใหม่ๆ ย่อมไม่ดีแน่ในอนาคต
สิ่งที่ผมจับได้จากหนังสือทั้งเล่มคือ การพูดถึง “ใจ” ในทุกด้านที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่จริงใจ เข้าใจ ใส่ใจ ดีใจ
…นี่มันไม่มีเรื่องเงินหรือรายได้ที่เป็นตัวเงินเลยนี่หน่า
แต่เมื่อมีสิ่งเหล่านี้ มันช่วยให้เรื่องที่เหลือตามมาเอง ทั้งนับได้เป็นเงิน และนับไม่ได้ซึ่งก็คือความสุขใจที่เป็นปลายทางของสิ่งที่เกี่ยวกับใจ และทำให้ยั่งยืน และยืนระยะได้มากกว่าการทำการตลาดแบบชั่วครั้งชั่วคราว
ถ้าใครเคยซื้อของที่ญี่ปุ่น เราน่าจะเคยได้สัมผัส บรรจุภัณฑ์ ที่เรายังรู้สึกว่า มันแกะยากจังโว้ย แต่จริงๆ แล้วมันคือ ใจ ที่ถูกใส่เข้าไป และยังมีเรื่องราวอีกมากที่เราอาจจะไม่รู้มาก่อน แต่เราค่อนข้างเชื่อว่าสิ่งที่อยู่ภายใต้หีบห่อนี้เกิดมาจากความตั้งใจที่จะทำขึ้นมาเพื่อนำส่งสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าหรือคนที่ได้รับ
รวมไปถึงการไม่ได้คิดแค่ความอยากของตัวเจ้าของเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการฟัง รับรู้ และเข้าใจ กับสิ่งที่เกี่ยวข้องรอบตัว ปัจจัยภายในอย่าง พนักงาน หรือปัจจัยภายนอกอย่าง ลูกค้า รวมไปถึงชุมชนรอบตัว ล้วนส่งผลทางความคิดและทิศทางที่จะเป็นจุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจ ซึ่งผมชอบมาก
มันคือการย้อนกลับไปทบทวนที่แท้จริง
และถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องธุรกิจญี่ปุ่นที่อาจจะดูว่ามันใกล้ตัวจากเรา แต่วิธีการเล่าของอาจารย์เกตุนั้นน่าสนใจ เพราะเป็นการเกริ่นด้วยโลกของการทำธุรกิจไทยมาตั้งไว้เป็นโจทย์ ก่อนจะเข้าเรื่องธุรกิจของญี่ปุ่นตามแต่ละเคส ทำให้เรารู้สึกว่ามันมีการเชื่อมโยงและเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงและเกิดกับธุรกิจในไทยจริง
อีกสิ่งที่ผมชอบมากคือการมีแบบฝึกหัดท้ายบท ที่ผมไม่รู้สึกว่าเหมือนเป็นการสอบ (แม้จะรู้สึกตอนท้ายเล่มนิดนึงก็ตาม) ผมรู้สึกว่าคำถามที่ถามไม่ได้ยากจนเกินไป และมันเป็นการทบทวนสิ่งที่เราเพิ่งจะอ่านจบและได้กลับมาทบทวนธุรกิจที่ตัวเองทำอยู่ว่าเป็นอย่างไร
ถ้าบทไหนไม่มีแบบฝึกหัดก็จะเป็น แลกเปลี่ยนความเห็น เปรียบเสมือนกับการเรานั่งคุยในห้องแล้วเปิดประเด็นท้ายคาบกับผู้เขียนว่าจากปัญหาที่เกิดชึ้นก่อนเข้าเคส, ธุรกิจที่หยิบมาพูด แล้วเอามาหาแนวทางที่ควรจะทำต่อไปเพื่อแก้ปัญหาได้ ซึ่งไม่มีอะไรเป็นสูตรตายตัว แต่เป็นการกลับมาตั้งหลักเริ่มต้นด้วยหลักการคิดที่ควรจะเริ่มเป็นหลัก
ผมมองว่าตรงนี้โคตรดี เพราะมันเป็นสิ่งที่คนทำธุรกิจหลายคนลืมหรือแม้กระทั่งไม่คิดถึงเรื่องนี้ไปเลย มุ่งแต่จะทำกำไรให้ได้มากที่สุด ซึ่งเราก็เข้าใจว่าวัตถุประสงค์มันเป็นอย่างนั้น แต่ปัญหาส่วนใหญ่ไม่ค่อยถูกแก้ตั้งแต่ต้นเหตุ ซึ่งก็คือจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง
ผมใช้เวลากับหนังสือเล่มนี้ไปประมาณ 4 ชั่วโมง แต่เป็น 4 ชั่วโมงที่ผมสนุกไปกับการเล่าเรื่องผ่านตัวหนังสือและผ่านเคสต่างๆ ที่ไม่ซ้ำกันเลย และทำให้เป็นหนังสือเล่มแรกของปีที่ผมอ่านจบรวดเดียว ซึ่งปกติผมจะอ่านวันละ 1-2 บทแล้วพักยาว ฮ่าๆ
ใครสนใจเกี่ยวกับการตลาดในสิ่งที่ควรจะรู้ตั้งแต่แรกเริ่มเลย ผ่านเรื่องเล่าธุรกิจและปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในชีวิต แนะนำเล่มนี้เลยจริงๆ ครับ
เพราะ Makoto แปลว่าใจ Makoto Marketing นั่นคือ การทำการตลาดด้วยความจริงใจ ที่จะทำให้ธุรกิจยั่งยืนได้
ตอนนี้สั่งออนไลน์ได้ที่ The Cloud โดยตรงเลยครับ https://readthecloud.co/makoto-marketing-book/ หรือลองหาตามร้านหนังสือนะครับ แต่ถ้าให้ดี สั่งออนไลน์ดีกว่าช่วงนี้ ปลอดภัยไว้ก่อน