Face to Face (F2F) หรือการพบเจอกันแบบเห็นหน้ากันแบบตัวต่อตัว หลายคนคงจะคิดว่ามันก็คือเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ ใช่ครับ มันคือเรื่องปกติมาก โดยเฉพาะในช่วงก่อนที่จะมีโควิด พอโควิดมาถล่มโลก Face to Face กลายเป็นของหายากไปเลย และเริ่มจะกลับมาเจอหน้ากันแต่ก็ด้วยความถี่ที่ไม่เหมือนเดิม
ผ่านชีวิตที่ฝังอยู่ในอุตสาหกรรมซอฟท์แวร์มานาน 10 ปี เทียบไปแล้วก็เกือบ 1 ใน 3 ของชีวิต เพราะตั้งแต่ผมจบมา ก็ได้มาทำงานที่นี่เลย นั่นก็คือ Reuters Software ซึ่งผมพยายามที่จะสมัครตั้งแต่ที่บริษัทเขามา campus ที่ม.ขอนแก่น และสุดท้ายก็ไม่ได้ จนตกงานและพยายามนั่งรถทัวร์ไปกลับโคราช-กรุงเทพฯ นับครั้งไม่ถ้วนเพื่อมาที่ Reuters สุดท้ายผมก็ได้เข้าทำงานหลังจากเพื่อน Com 14 ที่ได้งานตั้งแต่ยังไม่จบทำไปแล้วร่วม 3 เดือน จริงๆ ที่บอกว่า 10 ปี ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว เพราะตัวเลขอย่างเป็นทางการที่ผมทำก็คือ 9 ปี 11 เดือน ตัวเลขนี้ใครทำรอยเตอร์ก็จะรู้ว่ามันน่าเสียดาย(มากกก จากเสียงพี่กิ๊กและพี่ลูกน้ำ Time-Series Project Manager) ที่จะไม่ได้เงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจากบริษัท 100% ซึ่งผมก็ได้ 90% ตามสัดส่วนการอยู่ไม่มีการปัดขึ้นแต่อย่างใด รวมทั้งป้ายเก๋ๆ ที่บอกว่าทำงานมา 10 ปีแล้วนะ …อันที่จริงช่วงที่ทำงาน 5 ปีก็มีการแจกเงินโบนัสพิเศษและป้ายแสดงว่าทำงานมา 5 ปี […]
ชีวิตคนเราในสมัยนี้ ไม่พ้นที่จะต้องพก Smartphone, Tablet, Laptop ไปไหนต่อไหน ทำยังกับยก Pantip และ มาบุญครองมาไว้ในตัว ทั้งนี้ก็เอาไว้ใช้ในการเรียน, การทำงาน, เพื่อติดตามข่าวสาร และคุยกับเพื่อน (ซึ่งจะตกกันข้อสุดท้ายกันซะส่วนใหญ่ -_-a) แต่ที่มากกว่านั้นนั่นคือ เราต้องยุ่งกับมันตั้งแต่ลืมตาลุกจากเตียงยันหลับตานอนเลยทีเดียว ใช่หรือเปล่าครับ ^^
ช่วงปีหลังๆ กระแสการทำงาน โดยไม่ได้อยู่ที่ Office แต่ดันสถิตย์กันอยู่ที่บ้าน หรือเลือกที่จะฝังรากตามร้านกาแฟไม่ว่าจะเป็นสีเขียว,สีแดง,สีส้ม เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ สายตาคนมองจากภายนอกบ้างว่าดูเท่ นั่งจิบกาแฟเปิด Laptop เชคเมล เชคงาน(หรือเล่น Facebook อยู่?) บ้างก็ดูว่ามันมีความคล่องตัวสูง คือแค่มีอินเทอร์เนตก็ทำงานที่ไหนที่ได้ใลกได้แล้ว บริษัทที่จะให้พนักงานมีอิสระในการทำงานที่ไม่ต้องเข้ามาใน Office ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นองค์กรที่มีทุนหนาหรือมีชื่อเสียงมากพอสมควร เนื่องจากอาจต้องมีการทำเครือข่ายสำหรับเข้าใช้งานเฉพาะที่เรียกว่า VPN (Virtual Private Network) เพื่อรองรับการทำงานแบบนี้ด้วย Infographic ที่ผมเอามาให้ดูวันนี้ มี 2 ตัวครับ ตัวแรกคือ infographic ที่จะช่วยให้เจ้าของบริษัทได้พิจารณาเลือกใช้งาน Work From Home/Mobile Office ว่าจะใช้ดีหรือไม่
ถ้าใครตาม blog ผมที่ post นั่น post นี่ไปเรื่อย จะพบว่าผมชอบหยิบการนำเสนอข้อมูลโดยใช้รูปภาพ หรือที่เรียกกันว่า Infographic มาให้ดูกันอยู่เรื่อยๆ มา blog นี้ก็เช่นกันครับ ไปเจออะไรแหล่มๆ มาเหมือนเดิม เป็นของทาง Google ครับ แต่สำหรับตัวนี้จะแตกต่างจากอันที่ผ่านๆ มาสักเล็กน้อยเพราะว่ามันเป็น infographic ที่ interactive ด้วย เป็นตารางงานที่ทาง Google เองกำลังพัฒนาอยู่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น API (Application Programming Interface) และตัว Product ที่ทำอยู่ ในรูปแบบตารางธาตุ (จำตอนเรียนเคมีกันได้หรือเปล่า….สยอง -_-“) ลองดูครับว่าเป็นยังไงบ้าง
ใกล้จะสิ้นปีแล้ว มนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆท่านๆ ย่อมรอความสุขที่จับต้องได้ในช่วงสิ้นปีนั่นก็คือโบนัสประจำปี วันนี้ผมมีข้อมูลที่จะมาแชร์กันเล็กๆนะครับ… เป็นที่ีรู้กันดีว่า Silicon Valley ที่เมือง Northern California ใน US เป็นที่รวมของบริษัทยักษ์ใหญ่ระดัีบโลกของอุตสาหกรรม IT ไม่ว่าจะเป็น Yahoo, Google, Apple, Cisco, HP, Facebook หรืออะไรเยอะแยะเต็มไปหมด ผมเชื่อว่าหลายคนที่อ่าน Blog ผมก็คงทำงานเกี่ยวกับด้าน IT อยู่ไม่มากก็น้อย บริษัทที่อยู่ใน Silicon Valley ก็คงเป็น 1 ในความฝันของคน IT ว่าอยากจะได้ไปทำ ณ ที่แห่งนั้น หรืออย่างน้อยได้ไปสัมผัสละอองของบริษัทเหล่านั้นว่ามันน่าขนลุกขนพองขนาดไหน และอีกไม่น้อยคงอยากจะรู้เหมือนผมว่า ถ้าเกิดว่าได้ทำงานในบริษัทเหล่านั้น เราจะได้เงินเดือนเท่าไหร่กันนะ…