Face to Face (F2F) หรือการพบเจอกันแบบเห็นหน้ากันแบบตัวต่อตัว หลายคนคงจะคิดว่ามันก็คือเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ ใช่ครับ มันคือเรื่องปกติมาก โดยเฉพาะในช่วงก่อนที่จะมีโควิด พอโควิดมาถล่มโลก Face to Face กลายเป็นของหายากไปเลย และเริ่มจะกลับมาเจอหน้ากันแต่ก็ด้วยความถี่ที่ไม่เหมือนเดิม
ช่วงที่ผมพิมพ์บล็อกนี้ก้าวเข้าสู่เดือนที่ 2 ของปีแล้ว ซึ่งช่วงที่ผ่านมาก็คือช่วงสิ้นปีข้ามมาเริ่มปีใหม่ ซึ่งใครที่ทำงานบริษัทส่วนใหญ่ก็จะมีการจัดงานเลี้ยงปีใหม่ของทีมและบริษัท ซึ่งเป็นกึ่งๆ ประเพณีที่ทำกันมาแทบทุกปีเพื่อฉลอง แจกรางวัล และทานข้าวด้วยกัน สเกลเล็กใหญ่ตามงบประมาณของบริษัทหรือทีมก็ว่ากันไป
ซึ่งจากการจัดงานนี้แหละที่ผมทำให้คิดที่จะเขียนถึงเรื่อง Face to Face ขึ้นมา
งานเลี้ยงทีมที่ทำงานด้วยกันจัดโดยน้องที่เป็นหัวหน้าผม ซึ่งผมอายุมากกว่าแต่ก็ยอมรับความสามารถในแง่การจัดการบริหาร โดยทีมที่ผมอยู่ด้วยเป็นทีมเล็กๆ ประมาณ 10 คน แต่ละคนมีหน้าที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นคนฟันธงกับ Business, Specialist, UX, Designer ส่วนผมเป็นดูแลเรื่องหน้าจอแอปที่ต้องคุยกับหลายๆ ทีมแล้วแปลงสภาพให้เป็นสิ่งที่จะแสดงผลให้คนใช้งานเห็น
ด้วยความที่เราทำงานกันอยู่ตลอดเวลาและต้องคุยกันตลอด เพราะทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงกันเป็นแบบรายวันรายชั่วโมง จากความต้องการของโปรโมชั่นและลูกค้าอยู่ตลอด ดังนั้นการสื่อสารทั้งในทีมกันเองและระหว่างทีมที่รับผิดชอบหรือเกี่ยวข้องจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยช่องทางหลักในการสื่อสารก็คือออนไลน์ ไม่ว่าจะ LINE อันเป็นที่รัก, Slack, MS Team อีเมล และอื่นๆ
ถามว่าสะดวกไหม คำตอบก็คือมันสะดวกมาก ด้วยความเร็วในการติดต่อ จะพิมพ์ จะ Call จะ โทร ก็สามารถทำได้ทันทีทั้งบนมือถือและบนคอม แค่มีอินเทอร์เน็ตต่อและมีแบต (รวมถึง Powerbank ด้วย)
สำหรับผม ใช่ครับ ออนไลน์มันคือช่องทางหลักในการสื่อสารเพื่อการทำงานและการใช้ชีวิตในช่วงหมดเวลางานแล้ว และหลายๆ ครั้งผมก็เกลียดช่องทางนี้มาก เพราะมันทำให้ผมกลายเป็นคนที่ต้องระแวงตลอดเวลา
คราวนี้มาพูดถึงว่า เวลาเราเริ่มทำงานในวันแรกๆ หรือว่ามีคนใหม่เข้ามาร่วมทีม สมมติผมเป็นคนใหม่ที่เพิ่งเข้ามาทำงานและร่วมทีมในวันแรกๆ น้อยครั้งจริงๆ ที่จะได้เจอทีมแบบตัวเป็นๆ แบบพร้อมหน้าพร้อมตา แล้วยิ่งช่วงนี้คนยิ่งเลือกที่จะทำงานแบบ Work From Home มากกว่าการเข้ามาที่ออฟฟิส ดังนั้นมันก็จำเป็นต้องใช้ช่องทางออนไลน์ในการพูดคุย ซึ่งถ้าเป็นเสียงก็ดีหน่อย เพราะยังได้ยินน้ำเสียงบ้าง แต่ถ้าเป็นการพิมพ์ มันเป็นการสื่อสารแบบทื่อๆ ซึ่งคนรับสารอาจไม่ได้รู้ความรู้สึกที่แท้จริงของคนส่งสารว่าวัตถุประสงค์ที่แท้จริงคืออะไร
ผมถึงมองว่าการพิมพ์ Chat ไม่ว่าจะช่องทางไหน เป็นวิธีการสื่อสารที่แย่ที่สุดสำหรับผม รองลงมาก็โทรคุยหรือ Call ที่ได้ยินเสียง แล้วก็เปิดวิดีโอคุยกัน และวิธีที่ดีที่สุดสำหรับผมคือ Face to Face
วาร์ปกลับมาเรื่องงานเลี้ยงทีม นี่คือครั้งแรกๆ เลยมั้งที่ผมและคนในทีมได้เจอหน้ากันแบบเห็นตัวเป็นๆ
โอเค บางคนอาจจะได้เจอกันแล้วบ้าง แต่สำหรับผม เจออยู่ไม่ถึงครึ่งนึง นอกนั้นคือได้ยินเสียงบ้างหรือเห็นก็แค่ Avatar ใน MS Team ซึ่งการได้เจอกันแล้วได้คุยกันแบบวงเล็กๆ สำหรับผมมันโคตร Ice-Breaking เลย เพราะนอกจากเราได้เห็นตัวเป็นๆ ได้รู้จักหน้าค่าตาแล้ว เรายังได้เห็นอากัปกิริยา วิธีพูด น้ำเสียง ภาษากาย ที่ถูกถ่ายทอดและสื่อสารออกมาบนโต๊ะอาหาร และเป็นความโชคดีด้วยมั้งที่แทบทุกคนในทีมมันคุยแล้วเข้าใจกัน ทันกัน แบบไม่ต้องแปลอะไรเพิ่มเติม
ผลกระทบที่ตามมาหลังจากการกินข้าววันนั้น แค่การเห็นหน้ากัน ได้สนทนากันเล็กน้อย ทำให้ผมเจอกัน ทักกัน จากเดิมที่เราอาจจะเดินสวนกันเฉยๆ เจอกันแค่ใน Call แต่การที่เราได้เจอกันได้คุยกันแล้ว มันทำให้เราได้มีเรื่องคุย ไม่ว่าจะงานหรือเรื่องจิปาถะ พอทุกอย่างมันคุยได้ เราก็รู้จังหวะเวลาคุยงานได้มากขึ้นกว่าเดิม รู้วิธีการคุยว่าต้องคุยแบบไหนจากที่คุยกันผ่านแป้นพิมพ์อย่างเดียว
นี่เป็นผลพวงจากการกินข้าวในทีมมื้อเดียวจริงๆ
ผมมองย้อนกลับไปที่ผมเคยทำงานที่ LINE ประเทศไทย ผมเองก็เคยเจอปัญหาแบบเดียวกันเลย การที่ต้องคุยกับคนต่างชาติผ่าน Video Call มันก็ช่วยให้การสื่อสารในเรื่องงานดีในส่วนของมัน แต่พอแค่ได้เจอตัวกันทุกอย่างมันเหมือนปลดล็อกทุกอย่าง พอจะคุยเรื่องงานก็จะรู้จังหวะ พอจะคุยเรื่องอื่นๆ ก็สามารถคุยได้ ซึ่งถ้าไม่ได้เจอตัว เรื่องอื่นๆ ผมก็คงคุยด้วยยากเพราะด้วยความที่เราไม่เคยเจอตัวกันเลย
ยกตัวอย่างอันนึงเป็น Service ที่ยังมีการใช้อยู่ก็คือ ตรวจลอตเตอรี่ ลองนึกสภาพการอธิบายกระบวนการเกี่ยวกับการเล่นหวย รางวัลที่มี ให้ Developer ต่างชาติฟัง คือผม Call หลายครั้งมากงานก็ไม่คืบ ต้องแก้กันไปแก้กันมาหลายที ทั้งๆ ที่ผมเองก็ขึ้น Wireframe ให้คร่าวๆ แล้ว
ช่วงที่ผมใกล้จะลาออกจาก LINE มีโอกาสได้บินไปที่ประเทศที่ Developer อยู่ และได้คุยกับ Project Manager ของ Service นี้ สุดท้าย ใช้เวลาชั่วโมงเดียว ทุกอย่างจบ เข้าใจ รู้เรื่อง นี่จึงเป็นสิ่งที่ผมมองว่าการเจอหน้ากันมันมีผลจริงๆ
สำหรับหลายคนที่อาจจะมองว่า การเจอกันแบบ Online มันมีประสิทธิภาพมากกว่า ประหยัดการเดินทาง ก็ตอบว่า ใช่ครับ ถ้ามองเรื่องนี้ผมเห็นด้วยทุกอย่าง แต่ที่ผมต้องการสื่อสารคือ อย่างน้อยๆ เลย การเจอหน้ากันในช่วงระยะเริ่มต้นหรือมีโอกาสได้เจอบ้าง มันน่าจะดีกว่าการที่อยู่บน Online เพียงอย่างเดียว
ส่วนตัวผมเชื่อมากๆ ว่าการได้เจอหน้ากัน ได้พูดคุยกัน มันคือกุญแจสำคัญที่จะปลดล็อกให้การสนทนาในครั้งต่อๆ ไปหลังจากที่ได้เจอหน้ากันแล้ว
แค่ Face to Face ครั้งเดียว ก็เปลี่ยนให้ชีวิตการทำงานเราราบรื่นขึ้นมากกว่าเดิม เหมือนได้น้ำมันหล่อลื่นช่วยให้การทำงานมันได้งานมากกว่าเดิมครับ…