มาต่อกันเลยช่วงมหาวิทยาลัย
การตรวจสุขภาพก็เป็นไปตามปกติที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ ในวันเดียวกันผมต้องสัมภาษณ์ช่วงบ่ายทันที ผมจำเรื่องเกี่ยวกับวันสัมภาษณ์เข้าได้ลางๆ แต่ที่จำได้แม่้นเลยคือ อาจารย์ถามคำถาม Basic น่าจะกับผู้ชายทุกคนที่เข้าไปว่า “คุณเล่น StarCraft เป็นไหม?” ผมอึ้งครับ ตอบไม่ได้ เพราะไม่รู้จักจริงๆ ณ เวลานั้น “ไม่รู้จักครับ” — “นี่มันเกมส์ภาควิชาเลยนะ” ผมอึ้งไป “ไม่รู้จริงๆครับ” สุดท้ายผมก็ผ่านสัมภาษณ์ได้มาเรียน ฮ่าๆ
ณ เวลานั้นมีเพื่อนผมเรียนสถาปัตย์ อยู่ขอนแก่นมาเหมือนกัน นัดเจอกันกินข้าว แล้วก็ชวนไปเล่นเนตที่หลังมอ (แถวนั้น อโคจรมากๆ ร้านแทงบอล ร้านเกมส์ ร้านเนต โรงหนัง เปิด 24 ชั่วโมง นึกอยากเมื่อไหร่ก็ขี่มอไซค์มาได้เสมอ) ระหว่างที่เริ่มเล่น ผมก็ surf เนตไปเรื่อยเปื่อย อยู่ดีๆเพื่อนผมถามผมว่า “รู้จัก Email ไหม” — “ไม่รู้ ทำยังไงอ่ะ” และวันนั้นเอง ผมจึงได้มี e-mail อันแรก เป็นของ hotmail ซึ่งผมลืมไปแล้วว่าผมตั้ง account แรกชื่อว่าอะไรไป…
มาถึงวันลงทะเบียน สมัยนั้นยังต้องวิ่งวุ่นวายในการลงทะเบียนด้วยการไปติดต่อเอง กรอกเอกสารด้วยมือ ยื่นเอกสารพร้อมลายเซ็นทางคณะด้วยตัวเองทั้งหมด ต้องอ่านบอร์ดวิชาที่เปิดมีอะไรบ้างกี่โมง มีกี่ Section เราลงอะไรได้บ้าง เยอะแยะเต็มไปหมด ไม่เหมือนสมัยนี้ที่ทุกอย่างผ่าน internet ทั้งหมด
เมื่อมาอ่านว่าตลอด 4 ปี จะต้องเรียนอะไรบ้าง อาการมึนงงเริ่มมาทันที เพราะไม่นึกว่าจะเรียนอะไรเยอะแยะอย่างนี้ ไม่ว่าจะ Physic, Chem, Math แถมมี Calculus อีกตั้งแต่ Basic ยัน Advance งงหล่ะซิครับ รวมไปถึงบางวิชานี่ก็ต้องไปเรียนกับเด็กทุน พสวท. สสวท.เอย ตัดเกรดกับแพทย์เอย วิศวะเอย คิดแล้วกลุ้มหนัก
…ผลที่ได้จบ 2 เทอมแรก พร้อม F 1 ตัว วิชา Math 2 ครับ สอนโดยอาจารย์จิรสุข ผู้ปิ้ง Slide ได้เร็วด้วยความเร็วสายฟ้าฟาด ออกข้อสอบหามีความปราณีนักศึกษาไม่ … ช่วง Summer มาก็แก้ F กันไปตามระเบียบเพราะว่า ปี 2 เทอม 1 Math 2 ดันไปเป็นวิชาที่ต้องผ่านถึงจะลง Linear Algebra อีก ผลคือ รอดตัวไป
แต่ ผมก็มา F วิชา Linear Algebra อีกนั่นแหละ เพราะคนสอนก็คนเดิม ฮ่าๆ ตอนนั้นคนที่ได้เกรดดีที่สุดของวิชานี้คือได้ C ส่วน F มีครึ่งนึงของที่เรียน และเทอมนั้นเกรดเฉลี่ยผมออกมา 1.4 กว่าๆ (เรียนจบมาได้ไงก็ไม่รู้ เหอๆ)
พอพูดถึงการการเรียนการสอนยุคนั้น การใช้ Powerpoint presentation สอนยังมีน้อยมาก รวมไปถึง Whiteboard โดยส่วนใหญ่จะเป็นการปิ้ง Slide หรือเขียนชอล์คบนกระดานเลย กระดานบางห้องก็เป็นระบบ ยกขึ้นยกลง สลับกันไป 2 กระดาน ยุคนี้ง่ายครับ download จากเวปอาจารย์ แล้ว print มาก็พร้อมเรียนได้ทันทีแล้ว
แต่สุดท้ายไอ่ที่เราจดๆ lecture มาก็ไร้ค่าทันทีเมื่อถึงช่วงก่อนสอบ เพราะเราก็ต้อง Xerox lecture ของเพื่อนที่จดได้ทุกเม็ด มาอยู่ดี ถ้ามีสรุปแยกต่างหากจะถือว่าเป็น Bonus Track สำหรับเรา…ส่วนใหญ่อยากได้ Bonus Track มากกว่าจริงไหมครับ 😀 ผมอยู่รอดหลังจากเทอม 1.4 ก็เพราะ Bonus Track พร้อมคอร์สเรียนเร่งรัดทั้งเทอมภายใน 1 คืน
ส่วนเรื่อง Computer บอกตามตรงว่า ผมไม่เก่งเลยครับ โดยเฉพาะ Coding ซึ่งอ่อนด๋อยมากๆจนถึงปัจจุบัน ได้อย่างดีสุดก็ Visual Basic นอกนั้นเขียนแทบจะไม่เป็นเลย ส่วนวิชาอื่นๆที่ผมชอบจนถึงทุกวันนี้คือ Algorithm, Database และ SA (System Analyst) เหตุผลที่ชอบเพราะมันไม่ต้อง Coding ครับ ฮ่าๆ
ส่วนโปรเจคจบ ต้องจับคู่กันทำครับ และเนื่องจากผม Coding ไม่เป็นอะไรเลย แต่อาศัยว่าเราชอบมุมมอง user แบบไหนถึงจะเหมาะ เลยได้เป็นคนออกแบบ User Interface พร้อม code link กับ code backoffice เพื่อให้ user ที่เป็นหมอใช้งานง่ายๆ บน interface MATLAB เลยได้ทำ หลังจากที่ได้ทำโปรเจคในส่วนนี้ เลยได้มุมมองในการหางานครับว่าเราจะเป็นประมาณอะไรได้ ซึ่งทำใจไว้เล็กๆ ว่าหายากแน่ๆ เพราะจบคอมมาเค้าก็ต้องเน้น programming coding กันหมด
จนกระทั่งเทอมสุดท้าย มีบริษัทคู่แข่งกัน 2 เจ้าที่มา roadshow พร้อมรับสมัครถึงที่มหาวิทยาลัยเลย ช่วงนั้นเค้ามาแย่งเด็กกันเหนือ อีสาน ใต้ถึงถิ่น แต่ตอนนั้นผมสอบไม่ติดทั้ง 2 ที่ครับ T_T
หลังจากจบออกมา วิจัยฝุ่น 3 เดือน ใช้เวลาช่วงนั้น อ่านหนังสือ และพยายามสมัครงาน ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่มีใครรับ เงียบไป แต่ที่อยากทำจริงๆตอนนั้น เห็นจะมีแต่ที่ที่ผมทำอยู่ปัจจุบันหล่ะครับ ถึงขนาดยอมลงทุนนั่งรถทัวร์เช้ามากจากโคราชเพื่อมาสอบ ผมโดนสอบข้อเขียน 2 รอบเพราะพี่ HR เค้าถามก่อนจะสัมภาษณ์รอบแรกว่าได้ไปสอบตอนไป roadshow ที่ขอนแก่นไหม ซึ่งผมก็ตอบไปว่าเคยครับ แต่ความเป็นจริงแล้วตอนนั้นผมจำอะไรไม่ค่อยได้ มันแค่ลางๆจริงๆ ก็เลยต้องสอบใหม่อีกรอบ รวมถึงสัมภาษณ์ อีก 2 รอบ นั่นก็คือ กว่าจะลงตัวทุกอย่าง ก็ต้องนั่งรถทัวร์เทียวไปมา ไม่ต่ำกว่า 5 รอบ
สุดท้ายก็ได้งานที่ไม่ต้อง Code และเป็นตำแหน่งงานที่อยากจะเข้าทำจริงๆ ณ ตอนนั้น นั่นคือ Quality Assurance Engineer หรือเรียกกันติดปากว่า Tester นั่นเอง
สิ่งที่ตามมาคือ
– อะไรคือ Quality Assurance Engineer, Tester?
– เค้ามีหน้าที่อะไร?
– ทำไม Programmer ไม่ Code เอง Test เองเลยหล่ะ
etc.
ทุกคำถามผมจะตอบใน blog ถัดไปครับ รอตอนหน้านะครับผม…
… อ่อ จบ super introduction ของผมหล่ะครับ 😀