ไดอารี่หนีเที่ยวญี่ปุ่นเฉพาะกิจ – #3 ไปดูฟูจิซังด้วยบัตรเบ่ง JR Pass

ก้าวเข้าสู่วันที่ 4 ของการอพยพน้ำท่วมมาอยู่ที่ญี่ปุ่นแล้วนะครับ หลังจากนอนอยู่ที่โตเกียวมาแล้ว 3 คืน ก็ถึงเวลาที่ผมต้องออกเดินทางไปยังปลายทางที่สอง นั่นคือไปชมภูเขาไฟฟูจิ หรือฟูจิซัง และนอนค้างแถวๆ นั้น 1 คืน ก่ะจะเน้นบรรยากาศแบบนอนสบายๆ แถวๆ นั้นซะหน่อย ^^

อ่อ และวันนี้เองเป็นวันแรกที่จะได้ใช้ “บัตรเบ่ง” นามว่า JR Pass ที่ซื้อมาตั้งแต่ที่ไทยแล้วเอามาใช้ที่นี่ เลยจะขอพูดถึง JR Pass แบบพอสังเขปใหญ่ๆ ให้อ่านก็แล้วกันครับ…


ถ้าจะให้อธิบายบัตร JR Pass คืออะไรแบบเข้าใจง่ายที่สุด มันคือบัตรที่ใช้โดยสารรถบัส รถไฟ รถไฟฟ้า รวมถึงเรือ ที่บริหารโดยบริษัท JR ได้แบบไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม (เพราะว่าเราเสียเงินไปล่วงหน้าแล้วนั่นเอง) โดยส่วนใหญ่รถไฟนั้นจะวิ่งไปตามเมืองใหญ่ๆ อยู่แล้ว แต่ถ้าไปเมืองเล็กๆ อาจต้องเสียเพิ่มเติมเองครับ

ที่สำคัญเราสามารถเอาบัตรนี้ “เบ่ง” ใส่เจ้าหน้าที่สถานีรถไฟไปขึ้นรถไฟปากเป็ดที่ใครๆก็อยากขึ้น นามว่า ชินคันเซน ได้แบบสบายอุรา อูรา อูรา~

แต่ใช่ว่าจะขึ้นชินคันเซนได้ทั้งหมดทุกสายนะครับ เพราะ JR Pass มีข้อแม้เป็นดอกจันฟอนต์เท่าขนาดทั่วไปว่า ไม่สามารถขึ้นชินคันเซนที่มีชื่อขบวนว่า Nozomi, Mizuho และ Hayabusa ได้ เพราะทั้ง 3 ขบวนคือขบวนอำมาตย์ เร็วหรู ไฮโซ ซึ่ง JR Pass จะถูกมองเป็นลูกเมียน้อย ไม่สามารถเบ่งขึ้นได้ครับ หากจะขึ้นก็ต้องเสียเงินตามปกติ และรถไฟธรรมดาบางสายก็ต้องเสียเงินเพิ่มนะครับ ซึ่งมันแล้วแต่เส้นทางจริงๆ

ลองดูข้อมูลแบบเต็มๆ ได้จากเวปการท่องเที่ยวญี่ปุ่นครับ YokosoJapan

และคนไทยหรือชาวต่างชาติอย่าไปเกรียนซื้อ JR Pass ที่ญี่ปุ่นนะครับ เพราะว่าเราจะต้องซื้อจากประเทศต้นทางที่เราเดินทางเท่านั้น ดังนั้นพี่น้องชาวไทยทั้งหลายที่ต้องการซื้อ JR Pass จะต้องซื้อผ่าน Agency ตั้งแต่ก่อนจะบิน โดยเค้าจะออกเป็นคูปองให้เรามาแลกเป็นบัตรเบ่งตัวจริงเองที่ญี่ปุ่น และเราสามารถกำหนดวันเริ่มต้นในการใช้งานได้ตามสะดวก

ตัวอย่างการใช้งานของผมเอง ผมบินไปวันที่ 10 Nov แต่ผมไม่ได้ออกนอกโตเกียวช่วง 3 วันแรก ดังนั้นผมเลยเลือกวันในการใช้งานเป็นวันที่ 13 Nov ซึ่งวันสุดท้ายนั้นจะตรงกับวันที่ผมกลับเมืองไทยพอดีนั่นคือ 19 Nov ดังนั้นแล้วต้องคิดวางแผนให้ดีก่อนด้วยนะครับว่าเราจะไปเมืองไหนเมื่อไหร่ (อย่าคิดก่อนบิน 2-3 วันก่อนบินเหมือนผมก็พอแล้วหล่ะ)

**เมื่อได้รับ JR Pass แล้วห้ามทำหายเด็ดขาด เพราะหายแล้วหายเลย ไม่มีการออกให้ใหม่ครับ

ในบัตรจะบอกเป็นเลขปีตามการนับของญี่ปุ่นเป็นวันเริ่มต้น ซึ่งปัจจุบัน 2011 เราอยู่ในปีเฮเซที่ 23 (ผมเกิดปีโชวะที่ 56 ไปคิดเอาเองหล่ะกันครับว่าผมเกิด 2524 *บอกทำไมฟ่ะ)

เอาหล่ะ จบ Session ของ JR Pass แล้ว มาพูดถึงการเดินทางครับ ^^

เนื่องจากว่าผมต้องการใช้บัตรเบ่งให้เต็มที่ เลยตัดสินใจเดินจากที่พักเดิมที่อยู่แถวๆ Kuramae ลากกระเป๋าไปขึ้นรถไฟ JR ที่สถานี ASAKUSABASHI เดินประมาณ 15 นาทีก็ถึงสถานี JR หล่ะครับ แต่ก่อนขึ้น ผมได้ทำการจองที่นั่งบนรถไฟที่จะขึ้นไปยังฟูจิก่อน ซึ่งใครที่ใช้ JR Pass สามารถจองที่นั่งได้ก่อนล่วงหน้าเลยที่สถานี โดยการจองนั้นเราต้องทำการเตรียมตัวหาข้อมูลตารางเวลารถไฟให้ชัดเจนก่อนจองครับ หรือใครอยากไปเปิดสมุดรวมตารางเวลาของ JR ทั้งหมดก่อนก็ได้ครับ (แต่ผมไม่…)  โดยผมอาศัยการหาข้อมูลจากเวป Hyperdia มาก่อน และใช้มันตลอดการเดินทางในญี่ปุ่นเลย


บอกตามตรงว่าเวป Hyperdia นี้แกรนด์ปาแกรนด์มาเจ๋งโคตรครับ คือ เวปขอแค่เรารู้ว่าเราจะขึ้นจากสถานีไหน ไปลงสถานีไหน เวลากี่โมง เท่านี้เวปก็จะหาข้อมูลมาเสนอให้เราเป็นทางเลือกทั้งหมด 5 เส้นทางครับ รวมไปถึงกำหนดได้ว่าจะให้มีเงื่อนไขอะไรเพิ่มเติม รวมไปถึงเลือกเอาชินคันเซนที่ JR Pass ใช้ไม่ได้ออกได้ด้วย ส่วนเวลาจอง ถ้าอยู่ที่ไทย print เป็นกระดาษขนไปเลยครับ ไม่ก็ save เป็น PDF ยัดลงใน tablet ไปเลย หรือถ้าที่พักมี WiFi ก็ Cap หน้าจอ iPad ให้เค้าดูครับ แล้วบอกว่าเราจะขึ้นสายไหนบ้าง

*มีเทคโนโลยีอยู่ในมือทั้งที แบกมาที่นี่ก็ใช้มันให้คุ้มๆหน่อย ^^

เมื่อจองแล้ว พนักงานก็จะออกบัตรจองให้เป็นการ์ดสีเขียว ซึ่งจะบอกต้นทาง ปลายทาง วันที่เดินทาง หมายเลขตู้และที่นั่งตามรูปเลยครับ ผมทำการจองไว้เพื่อไปขึ้นรถที่ชินจุกุ แล้วลงที่สถานี Otsuki แล้วขึ้นรถต่ออีกขบวนไปที่ Kawaguchiko ครับ จากตั๋วที่ผมถ่ายให้ดูจะเห็นว่าผมจองไว้ที่ Otsuki เท่านั้น เพราะว่าหลังจากนั้นต้องจ่ายเงินค่ารถไฟท้องถิ่นต่างหากเอง

มั่นใจว่ามีที่นั่งแน่นอนหล่ะก็ลากกระเป๋าขึ้นรถไฟไปชินจุกุ แต่มาถึงก่อนเวลาไปนิดนึง+ความหิว เลยตัดสินใจลองเข้าไปกินร้านข้าวในสถานีดู แล้วก็ไปเจอตู้วัดใจราเมง เลยจับคู่เลขกับรูป แล้วก็กดมา 1 อย่าง แล้วไปยื่นตั๋วราเมงให้พนักงาน จากนั้นไม่นานเค้ายื่นให้เราแล้วยกไปที่โต๊ะกินเองและที่นั่งนั้น…ไม่มีครับ ยืนซดลูกเดียว (ไม่มีช้อนให้อีกต่างหาก ซดมันเลย ซู๊ดดด)

กินเสร็จ ก็ขึ้นไปรอรถไฟครับ เลยพยายามสังเกตด้านในโบกี้รถไฟ จะมีพนักงานมาทำความสะอาดในรถอย่างดี และหากเป็นรถต้นขบวนจะมีการหมุนเก้าอี้ที่นั่งให้หันไปทิศทางเดียวกันกับที่จะไป ซึ่งในระหว่างทาง หากเราไปเที่ยวกันเป็นครอบครัว 3-4 คน ก็สามารถหันเก้าอี้มาเจอกันได้เองแบบสบายๆ

และก่อนไปขึ้น ก็ยังคงเปรี้ยว อยากลองข้าวกล่องในสถานีหรือที่เราสั่งกันในร้านฟูจิ คือ Bento ผมสั่งข้าวหน้าปลาอะไรสักอย่างมากับชาเขียว 1 ขวด รวมแล้ว 1000yen (400 บาท) ราคาร้าวอุราแถมได้นิดเดียว อร่อยแต่ไม่สมกับราคาครับ

นั่งไปแปปๆ ก็ถึง Otsuki แล้วผมก็ต้องเปลี่ยนรถไฟอีกขบวนเป็นสาย Fujikyu ซึ่งต้องเสียเงินต่างหากอย่างที่บอกไปตอนแรก นั่นคือเสียไป 1110yen แต่ความเฮงของผม ขบวนที่จะขึ้นดันเป็นรถ express ต้องเสียเพิ่มอีก 300yen เป็น 1410yen   รถไฟที่ผมนั่งมาเป็นไงบ้างครับ น่ารักไหม (ราคาไม่ค่อยน่ารักเท่าไหร่นะ) -_-”


จากชินจุกุ มาถึงปลายทาง ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงก็มาถึงสถานี Kawaguchiko แล้วครับ ส่วนที่พัก ผมจองผ่าน hostelworld เหมือนเดิม ซึ่งคราวนี้ผมเลือกที่พักด้วยเงื่อนไขว่า “คลานแล้วถึง งบใส่สุด ปลดชุดแช่ออนเซน” แล้วก็ได้ Kawaguchi-ko Station Inn ตั้งที่อยู่หน้าสถานีรถไฟ Kawaguchiko เลย เดินนาทีเดียวถึง และที่สำคัญที่นี่มีออนเซนแบบ indoor ให้แช่กันแบบเปรมๆ วู้ฮู้ววว ^^

ห้องพักขอนอนแบบดีดี 1 คืน ห้องเลยเป็นแบบนี้ครับ ล้มหมอนนอนเสื่อกันเลย 🙂

พอเอากระเป๋าเข้าห้องแล้ว ต้องรีบออกมาทันทีเนื่องจากไปถึงประมาณบ่ายสาม แดดเริ่มลง เลยต้องรีบขึ้นรถบัสไปถ่ายรูปฟูจิซัง ซึ่งรถบัสนี้คิดเป็นเที่ยว เที่ยวละ 200yen แต่ถ้าเป็น 2-Days Pass สองวันขึ้นไม่อั้น พันเดียว ผมเลยเลือกซื้ออย่างหลังครับ

 

พอดูแผนที่แล้ว ต้องไปลงป้ายสุดท้ายเลยเพื่อให้เห็นฟูจิซังแบบแนวกว้างๆ แต่พอไปถึง ถึงกับคอตกเพราะว่า เมฆมาบังยอดภูเขาซะมิดเลย เห็นแค่สันเขาของฟูจิซังแค่นั้น

ถึงตอนนั้นผมเริ่มถอดใจไปหล่ะกึ่งนึง จากตรงนั้น ผมยอมเดินย้อนขึ้นมาประมาณ 4 ป้าย ร่วมๆ 1 กิโลเมตร เพื่อถ่ายรูปไป และภาวนาว่าจะได้เห็นฟูจิกับเค้าบ้าง และในที่สุด ก่อนถึงป้ายที่ผมตั้งใจจะขึ้นกลับ ผมก็เห็น…

ฟูจิซังโผล่มาแล้ว 😀   จริงๆ mission ผมก็สำเร็จสุดๆ แล้ว เพราะผมได้เห็นฟูจิซัง แม้ว่าจะไม่ได้เห็นเต็มๆ ก็ตาม แต่ด้วยบรรยากาศ แสงพระอาทิตย์ตก โอย คุ้มค่าเหนื่อยที่เดินทางมาถึงนี่ครับ 😀

นั่งรถกลับมาจากถ่ายรูป รถติดมาก เนื่องจากช่วงนี้มีเทศกาล Autumn Fest. พอดี คนมาซื้อของ+มาเดินเล่นเยอะมาก…ผมอยากเดินอยู่นะ แต่ว่าถ้าเดินคงต้องเดินกลับที่พัก ซึ่งอยู่้ห่างจากงานประมาณ 5 กิโลเมตร -_-” เลยต้องกั๊กเอาไว้เป็นวันพรุ่งนี้สายๆ มาเดินแทน แต่คงต้องจำใจเสียบรรยากาศงานตอนกลางคืนไป *สะบัดบ๊อบแบบเซ็งๆ

กลับมาถึงที่พัก หาของกินที่ 7-11 มาเก็บไว้ แล้วกระโดดลงออนเซน…จุดนี้ใครเขินอายเรื่องการแก้ผ้าลงบ่อก็ไม่ต้องรับรู้ความสบายในการแช่ครับ ผมบอกได้แค่ 4 พยางค์ *** โคตร สบาย ^^”

ผมแช่ประมาณครึ่งชั่วโมงก็ขึ้นมากินของกินที่ซื้อมา กินเสร็จ ทนไม่ไหว ไปแช่ออนเซนอีกรอบ ฮ่าๆ ค่าที่พักมันแพง ต้องแช่ให้คุ้มๆ หน่อยๆ คืนนั้นหลับสบายเป็นตายครับ เอิ๊กส์

 

ตื่นขึ้นมา ก็แช่ออนเซนอีกรอบ ก่อนจะ check-out แล้วฝากกระเป๋าไว้กับที่พัก เพื่อเดินไป Lake Kawaguchiko แบบชิวๆ 10 นาทีก็ถึงแล้ว แล้วก็พบว่า ฟูจิซังเจอเมฆบังกว่าเมื่อวานนี้อีก แถมแดดเปรี้ยงเลย นับเป็นโชคอย่างมากที่ผมเห็นฟูจิซังเมื่อวานนี้ แต่ด้วยแผนที่ผมจะแวะ คือแวะที่งาน Autumn Fest. ที่มีต้นไม้ที่มีใบเปลี่ยนสีแดงเหลือง(ไม่เกี่ยวกับการเมือง) วัตถุประสงค์ผมแค่แวะไปถ่ายรูปล้วนๆ ครับ เพราะบรรยากาศของงานคงไม่ได้อะไรมากมาย เพราะว่าคนมาออกร้านในช่วงสายๆ ไม่เยอะเท่ากับตอนกลางคืน ก็เลยได้ภาพอย่างที่เห็นครับ

 

ใช้เวลาตรงนั้นเดินดุ่ยๆ ประมาณชั่วโมงนึง ก็ต้องนั่งรถบัสกลับแล้ว เพราะต้องไปขึ้นรถต่อเพื่อเดินทางสู่ที่หมายต่อไป… ที่หมายต่อไปของผมคือไปโอซาก้า ซึ่งตอนแรกวุ่นวายตรงจุดนี้มากเนื่องจากไม่รู้จะไปที่ไหนดี จะแวะ Hakone ก่อนดีไหม หรือเลยไปเลย

สุดท้ายผมก็ได้ไปปรึกษา พี่ว่านน้ำ ณ พันทิป @wan_nam ว่าจะเดินทางไปโอซาก้ายังไงดี พี่ว่านก็แนะนำให้ขึ้นรถบัส 2 ต่อจากหน้าสถานี แล้วค่อยต่อชินคันเซนที่เมือง Mishima ผมเลยเซย์เยสไม่มีปัญหา แต่ก็ต้องแลกมาด้วยกับค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม นั่นคือค่ารถบัส 2 ต่อจาก Kawaguchiko-Gotemba และ Gotemba-Mishima ราคา 2130yen

ในรถบัสก็เป็นรถเหมือนรถเมล์เหลืองปรับอากาศบัานเราครับ เพียงแต่ว่าต้องขึ้นที่ประตูตรงกลาง และแบกกระเป๋าขึ้นไปกอดด้วย ไม่เหมือนรถป.1 ป.2 บ้านเราครับที่จะมีที่ใส่กระเป๋าด้านล่าง และเนื่องจากปลายทางที่ผมจะลง ต้องเปลี่ยนรถอีกคัน ก็ต้องกระเตงกระเป๋าใบโต มาเปลี่ยนรถอีกคัน สรุปรวมแล้วขึ้นรถบัสอย่างเดียว เกือบๆ 2 ชั่วโมง

แต่เนื่องจากว่า ผมต้องไปต่อ ชินคันเซนที่ Mishima ซึ่งก็รู้กันว่ารถไฟที่ญี่ปุ่น ไม่ว่าที่ไหนมาตรงเวลา และออกตรงเวลา(โคตรๆ) และจากตารางรถบัสของผมจะมาถึงสถานีตอน 13:50 แล้วไปขึ้นชินคันเซนตอน 13:59 แต่พอเอาเข้าจริง รถบัสเสียเวลาครับ มาถึงที่นี่ 13:55 ผมเลยวิ่งกระเตงฟัดไปที่ชานชาลาเพื่อขึ้นรถไฟ สุดท้ายไปถึงที่ชานชาลาเฮ้ดชาลา ผมเห็นตูดรถชินคันเซนที่ผมต้องขึ้นออกจากสถานีแบบคาตาเลย (ดราม่ามากตอนนั้น)

…คอตกและหอบยังกับวิ่งมาราธอนมา เลยลากกระเป๋าออกจากสถานีมาตั้งหลัก เพื่อหาเวลารถขบวนถัดไป ซึ่งเวลาที่ได้นั่นคืออีก 1 ชั่วโมงข้างหน้า ผมเลยจัดการเข้าจองที่นั่งใหม่

อ่อ…ต้องบอกว่าการจองที่นั่ง เราสามารถจองได้ไม่จำกัดนะครับ ตัวอย่างแบบเคสผมคือ ตกรถคันก่อนหน้า ก็มาจองคันต่อไปได้ รวมไปถึงจองขบวนอื่นๆ ล่วงหน้าได้เช่นกันครับ 😀

จองเสร็จแล้วเหลือเวลาหอบอีก 40 นาที เลยไม่มีอะไรทำ สิ่งที่ทำได้คือกินครับ เลยเดินไปร้านราเมงหยอดเหรียญเหมือนเดิม ยืนกินแซ่บๆ รอเวลา แล้วก็ไปขึ้นชินคันเซนครั้งแรกกับเค้าบ้างซะที 😀

นั่งจากตรงนั้นประมาณอีก 2 ชั่วโมง ก็มาถึงสถานี Shin-Osaka แล้วผมก็ต้องต่อรถไฟไปที่พักซึ่งเรียกว่า Loop Osaka ซึ่งบัตรเบ่ง JR Pass ใช้ได้แบบฟรีๆ ไม่ต้องเพิ่มเงิน แต่ด้วยความประมาณคือ ไม่ได้หยิบแผนที่โอซาก้ามาจาก Information เลยทำให้ผมยืนเป็นไก่(อ้วน)ตาแตก ไม่รู้จะขึ้นที่ชา่นชาลาไหน เพราะมันเป็น Loop วิ่งไปมาเรื่อยๆ ทั้งสองทาง สุดท้าย วัดใจขึ้นมันไปสักคัน เพราะยังไงแล้วมันก็ถึงที่เหมือนกันนั่นแหละ เพียงแต่มันจะถึงเร็ว หรือถึงช้ากว่าเท่านั้นเอง แล้วผมก็ขึ้นไปแบบมึนๆ จาก Osaka ด้วยข้อมูลที่มีแค่ชื่อสถานี ซึ่งนั่นคือ Momodani ด้วยรถไฟที่ผมขึ้นแบบวัดใจ ผมขึ้นอยู่เกือบๆครึ่งชั่วโมงผมก็มาถึงที่สถานี

แล้วก็มารู้ว่า รถที่นั่งมาเป็นวนขวา ซึ่งถ้าผมนั่งวนซ้าย ผมถึงไปนานหล่ะ -___-”

ที่พักที่ผมพัก ทำเลเทพมากๆ เพราะอยู่ห่างจากสถานีรถไฟ 100 ก้าว แนะนำครับ ที่นี่ Bonsai Guesthouse สะอาด สะดวก สบาย ใกล้โคตรๆ และมี Lawson อยู่แถวๆ นั้่น (รอดตายเห็นๆ ฮ่าๆ) ถึงที่พักก็ทุ่มกว่าแล้ว เกรงว่าจะไม่ได้อารมณ์กลางคืนของโอซาก้า เลยเดินออกมาพร้อมกับแผนที่ที่ทางที่พักเค้าเอาให้ ตอนนั้นมั่วมากว่าจะไปที่ไหนดี สุดท้ายก็จิ้มที่แผนที่ แล้วขึ้นรถไฟไป…

…ผมจะไปที่ไหนในโอซาก้า รออ่านตอนหน้าครับ ขอสัญญาว่าจะมาให้เร็วขึ้นกว่านี้

*ปล.ตอนนี้เขียนยากสุดๆ ดีใจมากที่เขียนจบ! T_T

Comments

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.