ทุกวันนี้คนกรุงเทพที่ต้องมารับใช้กรรมตามออฟฟิสต่างๆ ส่วนใหญ่แล้วต้องพึ่งใบบุญจากพาหนะที่ชื่อรถไฟฟ้า(มาหานะเธอ) ไม่ว่าจะบนฟ้าหรือใต้ดิน แล้วก็ต้องอัดกันมาในชั่วโมงเร่งด่วน (นี่ไม่รวมว่ารถเสียอยู่บ่อยๆ ในช่วงเวลานั้นด้วยนะ) ประเด็นที่ผมจะเขียนไม่ได้เกี่ยวกับส่วนต่อขยายหรืออะไรนะ เพราะเรื่องนี้เค้า “กินกันอีกนาน…” แต่ผมจะพูดถึงเรื่องบัตรแห่งความหวังของผม ชื่อว่า Rabbit Card
สำหรับผม เนื่องจากการขับรถยนต์เข้าไปในแหล่งที่มีความเจริญทั้งการกิน สายตา ฯลฯ อย่างเช่นสยาม หากขับรถไปถือเป็นเรื่องเสียเวลามาก จริงๆ แล้ว แค่คิดจะไปสตาร์ทรถก็เสียเวลาโคตรๆ แล้ว ดังนั้น รถไฟฟ้าทั้งหลายจึงเป็นตัวเลือกแรกในการเดินทางสำหรับผมในทุกๆ วัน แต่การจะใช้งานทั้งลอยฟ้าหรือมุดดิน มันต้องมีบัตรครับ แต่เค้าทำแยกออกมาให้ใช้งานคนละอย่างกัน คนลำบากก็คือเราที่ต้องพกมันทั้ง 2 ใบ จุดนี้เลยกลายเป็นที่มาของบัตรที่ผมจะพูดถึงนี้
Rabbit Card มันคือบัตรที่จะรวมการใช้งานระหว่าง BTS กับ MRT เข้าไว้ด้วยกันในบัตรเดียว รวมทั้งเป็นบัตรที่ใช้แทนเงินสดไว้ซื้อของได้ อารมณ์ประมาณบัตรช้าง 7 เชือก (seven elephants) นั่นแหละครับ เริ่มเปิดตัวแบบ Soft Opening ประมาณเดือนนึงได้แล้ว
บอกตามตรงว่าผมโคตรดีใจเลยนะที่จะมีบัตรอย่างนี้กับเค้าสักที เพราะจะได้ไม่ต้องพกบัตร 2-3 ใบแบบไร้ความจำเป็น อีกอย่างคือไม่อยากหน้าแหกหยิบบัตรผิดมาแตะ ซึ่งผมทำเป็นประจำนั่นแหละ *อายตัลหลอด
และถ้าใครที่ได้ไปเมืองนอกก็อาจจะเห็นว่าประเทศอื่นเค้ามีบัตรแบบนี้กันมานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นบัตรปลาหมึก (Octopus Card) ที่ฮ่องกง, บัตรหอยนางรม (Oyster Card) ที่อังกฤษ เป็นต้น
น่าสนใจว่าบัตรที่ผมบอกมาเป็นสัตว์ทั้งนั้น ของเราก็เป็นกระต่าย ซึ่งความหมายก็คือสามารถโดดจากขบวนนั้น มาเปลี่ยนเป็นขบวนนี้นั่นเอง ซึ่งเราก็ทำมันอยู่ทุกวันนี้ แต่ก็มีบางคนก็ท้วงว่าทำไมไม่ทำเป็นช้าง สื่อถึงความเป็นไทย (เยอะนะ) ผมอยากจะบอกว่า ไม่มีใครอยากเอาช้างขึ้นรถไฟหรอกครับ! จริงๆ แล้ว มองว่าในเรื่องความสะดวกในการใช้ชื่อมากกว่า มันควรจะสั้นและจดจำได้ง่าย เกิดไปเป็นบัตรช้าง คุณก็เหมือนไปโฆษณาให้เบียร์อีก เดี๋ยวสักพักก็ต้องมีบัตรออกมาแก้ทาง บัตรสิงห์ บัตรดาวแดง โอยยย ดราม่าล้นโลกล้นประเทศแล้วครับ พอเถอะ!
กลับมาเรื่องความดีใจในการรวมบัตร ผมก็ต้องหยุดความดีใจไว้ทันที เพราะระบบที่รองรับบัตรกระต่าย ณ ช่วงนี้จะมีแค่ BTS เท่านั้น ส่วน MRT หน่ะเหรอ เค้าบอกว่าปลายปี (ชิท!!!) ซึ่งถ้าดูจากเว็บของ BTS และ MRT แล้วแตกต่างอย่างสิ้นเชิง อันนึงประกาศกันตูมๆ ว่าจะเปลี่ยนจะเลิกขายแล้ว อีกอันไม่มีข้อมูลสักแอะ นอกจากบัตรของเราสามารถลดราคาตั๋วหนังได้ บลาๆ
ผมเริ่มมาหาข้อมูลเล่นๆ และอ่านใน Twitter เริ่มรู้ข้อมูลลางๆ ว่า บัตรกระต่ายพร้อมทดลองใช้กับระบบ BTS แล้วเพราะมีการรวมระบบไปได้สัก 2-3 เดือนแล้ว ส่วน MRT ไม่พร้อม เลยไม่มีข้อมูลด๋อยอะไรเลย และเห็นมีบางคนไปถามพนักงาน MRT เรื่องบัตรพนักงานก็งงๆ ไม่รู้จักบัตร Rabbit Card แถมโดนถามกลับด้วยว่าเป็นบัตรเครดิตใหม่เหรอค่ะ -___-a
ถ้าลองย้อนกลับไปสักนิดนึง BTS เองเปิดใช้บริการก่อน หลังจากนั้นไม่นาน MRT ก็เปิดบริการ คำถามคือทำไมไม่ทำบัตรให้เหมือนกันตั้งแต่แรก? ก็เพราะเค้ามี 2 บริษัทต่างคนต่างบริหารไงครับ BTS ก็เป็น บริษัท บางกอก สมาร์ทการ์ด เทคโนโลยี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบีทีเอสกรุ๊ปฯ และบริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) แล้วเพิ่งจะมารวมกันเป็น บริษัท แครอท รีวอร์ดส จำกัด เมื่อปีที่แล้ว (ที่มา Voice TV)
คำตอบที่พอเดาๆ ได้ก็คือ ผลประโยชน์ที่ไม่ลงตัวนั่นแหละ ก็เป็นอันรู้ๆ กัน ซึ่งถ้าเค้าเห็นประโยชน์ตั้งแต่แรก มันก็จบนานแล้ว (เคยได้ยินมานะว่า บินไปดูงานตั้งหลายรอบ ทำไมเค้าไม่จำส่วนนี้มาใช้ หรือเค้าเข้าฟรีตลอดเลยไม่เดือดร้อน??)
และการมาของบัตรกระต่ายก็คือการปิดฉากบัตรหนูด่วน ที่ผมไม่เคยคิดจะใช้มันเลย เพราะแทบไม่เห็นจะมีส่วนลดที่มันมีประโยชน์อะไรเลย ได้แต่ขึ้นชื่อว่าประกาศเป็นบัตรนี้ใช้ส่วนลดได้ แต่ลดอะไรมิทราบ… และที่สำคัญ BTS ทำบัตรแยกออกมาอีกต่างหาก พกกันมันเข้าไปให้โลกมันร้อน!!!
โดยสรุปแล้วก็คือ บัตรกระต่ายของเราจะใช้ได้กับ BTS เท่านั้นแหละครับตอนนี้ ส่วน MRT ก็รอไปหน่อยหล่ะกัน จนกว่าเค้าจะประกาศกัน ส่วนบัตรใช้กับร้านต่างๆ รอไปอีกเยอะๆ เพราะกว่าจะมีติดตั้งอีก เจ้าของโครงการคงกินได้อีกลอตใหญ่
ผมฝันแค่ว่าอยากได้ระบบแบบบัตรปลาหมึกในฮ่องกงมาใช้กับเมืองไทย “สักวันหนึง”
วันที่ 23 เมษานี้ก็ตื่นตูมไปแลกบัตรมาใช้กันก่อนพลางๆ นะครับ หวังว่าระบบคงไม่ Crash ซะก่อน…
ปล. ใครอยากดูความรู้เกี่ยวกับ SmartCard ลองอ่านที่นี่ดูครับ Geek นิดนึงแต่ก็ยังดีกว่าบอกว่า มันคือบัตรที่มีพื้นที่เล็กๆ สีทอง…