ผ่านไปแล้วกับงานที่สาวกรอคอยกับ WWDC 2012 ด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ จากทางค่าย Apple ซึ่งผมเองได้เขียน Keynote ของงานนี้ไปแล้วในเช้าวันอังคารที่ผ่านมา วันนี้ขอถือโอกาสเขียนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในงาน จากการนำเสนอด้วยการนำของ Tim Cook ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกที่เค้าขึ้นพูดในงาน WWDC ที่จัดเป็นครั้งที่ 32
การเปิดตัวนั้นแบ่งเป็น 2 ส่วนได้แก่ Hardware ซึ่งก็คือการเปิดตัว Macbook Air และ Macbook Pro ที่มาพร้อมกับ CPU รุ่นใหม่ล่าสุด Ivy-Bridge จากทาง Intel ซึ่งจุดที่เป็นไฮไลท์ในงานจริงๆ คงหนีไม่พ้น Macbook Pro ที่มาด้วยความบางและจอเรตินา ซึ่งมีความละเอียดมากที่สุดในโลก ณ เวลานี้ แต่ราคาก็สูงขึ้นตามความใสของภาพ เริ่มที่ 72,900 บาท
และอีกส่วนก็จะเป็น Software ซึ่งแบ่งเป็นของ Mac คือ Mountain Lion ที่ออกมาต่อยอดความสำเร็จของพี่สิงโต OS X Lion ซึ่งทาง Apple บอกว่าตอนนี้มีผู้ใช้งานมากกว่า 40% แล้ว และการมาของ iOS ตัวล่าสุดนั่นคือ iOS 6 ที่จะมาฝังอยู่ใน iPhone, iPad รวมทั้ง Apple TV ซึ่งจะเป็นส่วนที่ผมจะโฟกัสในความเห็นของผมด้านล่างนี้ (อาจมองเป็นบทวิจารณ์ก็ได้ครับ)
Ecosystem and Features ที่รวมกันเป็นหนึ่งเดียว (1 ในคาถาเรียกคนมาใช้ Mac)
ถึงแม้ปัจจุบันคนจะ Go Mac หรือหันมาใช้แมคมากขึ้น ทั้งด้วยการใช้งานหรือแม้แต่ตามกระแสก็ตาม แต่ก็ถือว่าไม่เยอะเมื่อเทียบกับคนที่หันมาใช้สมาร์ทโฟนอย่าง iPhone และแท็บเล็ตอย่าง iPad กันมากขึ้นอย่างมหาศาลทั่วโลก นี่คือโจทย์สำคัญที่ทาง Apple ที่ต้องคิดว่าจะทำอย่างไรเมื่อคนเริ่มคุ้นชินกับการใช้งานของเจ้า 2 i ที่มีกันล้นโลกแล้วให้มาใช้ Mac กันมากขึ้น จึงเป็นที่มาที่ทำให้ OS X Lion ถูกออกแบบมาให้มีความใกล้เคียงกับการใช้งาน iPhone, iPad และการมาของ Mountian Lion ยิ่งเพิ่มความใกล้เคียงเข้าไปอีกด้วยการเพิ่มคุณสมบัติต่างๆ ที่ทำให้มีลดช่องว่างความต่าง ซึ่งเป็นเหตุผลในการหันมาใช้ Mac ซึ่งผลก็ทำให้จำนวนคนมองว่า Mac ใช้ยากก็ลดลงไป
และนอกจากการใช้งานที่เป็นส่วนสำคัญแล้ว อีกส่วนที่เป็นจิ๊กซอว์ที่ Steve Jobs เปิดตัวไว้ใน WWDC ครั้งที่แล้ว และทิ้งไว้เป็นโจทย์ให้ทำการพัฒนาต่อ จนทำให้ตอนนี้การทำงานและโลกเปลี่ยนไปอย่างมากเพราะสิ่งนี้ เนื่องจากมันคือจุดศูนย์กลางในการแชร์ข้อมูลให้สามารถทำงานได้กับทุกๆ อุปกรณ์ของ Apple หรือ i-devices นั่นคือไม่ว่าจะเปิดเครื่องไหน ข้อมูลก็จะโผล่ไปอยู่บนอีกเครื่องได้อย่างง่ายได้ จิ๊กซอว์ชิ้นนั้นคือ…iCloud
ความสามารถของ iCloud นั้นถูกเพิ่มขึ้นมาล้วนทำให้ทุกอุปกรณ์ทำงานใกล้ชิดกว่าเดิมมากขึ้นและครอบคลุมแทบจะทุกอย่าง เช่นใน Safari ที่มีปุ่ม Cloud Tabs และใน iOS 6 ก็มี Shared Photo Streams ที่เป็นการต่อยอดจาก Photo Stream ใน iOS 5 ซึ่งทั้งหมดก็คือการให้ความสำคัญของ Apple ที่มีต่อ iCloud อย่างชัดเจน เพราะยิ่งบริการที่เชื่อมโยงมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้ผู้ใช้งานใช้งานมากขึ้นซึ่งมีผลดีกับผู้ใช้งาน และก็มีผลต่อรายได้ที่ได้จากการใช้พื้นที่ Cloud ของ Apple ด้วยเช่นกัน
Siri – เธอเก่งขึ้น สวยขึ้น และฉลาดขึ้นเยอะเลย
แม้ว่าปีนี้ Siri จะไม่ใช่ของใหม่แล้วเพราะถูกเปิดตัวมาตั้งแต่ iOS 5 แต่ว่าในปีนี้เธอมากับความเก่งขึ้นอย่างมาก ซึ่งเมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่ทำได้เพียงการพูดโต้ตอบ ถามตอบเรื่องทั่วๆ ไปได้ แต่ ณ เวลานี้ เธอ(จะ)พูดได้หลายภาษาขึ้น ซึ่งมากถึง 15 ภาษา และสามารถที่จะให้ข้อมูลที่อยู่ใกล้ตัวเรามากขึ้นไม่ว่าจะเป็นสามารถถามผลการแข่งขันเบสบอล, บาสเกตบอล, ผลบอลพรีเมียร์ลีคอังกฤษ หรือจะเป็นข้อมูลของนักกีฬาที่แข่ง เปิดหนัง ดูรีวิวหนัง รวมถึงสามารถแนะนำร้านอาหารที่อยู่ใกล้ตำแหน่งที่เราอยู่ ซึ่งเป็นข้อมูลที่เราอยากจะรู้ (แต่ก็อย่าลืมพูดด้วยน้ำเสียงที่เข้าใจด้วยนะครับ)
อีกอย่างที่ก้าวไปอีกขั้นคือการเอา Siri ไปทำงานร่วมกันกับสิ่งอื่นที่ไม่ได้มาจาก Apple เองนั่นคือ การให้ค่ายรถยนต์ชั้นนำ 9 ค่ายทำปุ่มเพื่อมาควบคุมการใช้งาน Siri บน iPhone และ (the new) iPad ได้ ถือเป็นก้าวแรกในการทำ ซึ่งคงต้องรอดูว่า ใน 12 เดือนที่ทาง Apple บอกว่าจะมีการใช้งาน iOS เองคงไม่หยุดนิ่งในการพัฒนาแน่ๆ ซึ่งผมว่าน่าจะเห็นอะไรล้ำๆ แน่นอน เพราะ Siri มันได้ “อีกเยอะ”!
Passbook – กระเป๋าเงินอิเลคโทรนิคในแนวทาง Apple
ก่อนหน้านี้ข่าวที่ผมเขียนเองเรื่อง Paypal ที่เปิดบริการการจ่ายเงินโดยไม่รอเทคโนโลยี NFC ซึ่งเป็นแนวทางในการหลีกหนีการรอเครื่องสมาร์ทโฟนที่จะต้องมีชิปเซต NFC เพื่อใช้บริการ และคราวนี้ Apple ก็ทำการเปิดตัวคุณสมบัติ e-wallet ใน iOS 6 ซึ่งเรียกว่า Passbook โดยทำหน้าที่เป็นกระเป๋าเงินให้กับร้านค้าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Apple Store เอง, ร้านกาแฟนางเงือก, เป็น Boarding Pass เพื่อใช้ในการโดยสารเครื่องบิน เวลาจะใช้ก็เพียงแค่เปิดแอพนี้แล้วยิง Barcode แล้วจ่ายเงินหรือใช้งานได้เลย แถมยังมีการเตือนว่าเราเข้าใกล้ร้านที่มีอยู่ใน Passbook เพื่อเรียกให้ไปใช้บริการอีกด้วย จุดนี้น่าสนใจอย่างยิ่งครับ
คำถามที่ผมแอบสงสัยคือ การมาของ Passbook นี้ไม่รู้ว่าเป็นคำใบ้บอกว่า iPhone รุ่นหน้าหรือรุ่นถัดๆ ไป จะไม่มี NFC แต่จะใช้แอพพลิเคชันนี้เป็นตัวแทน? น่าคิดนะครับ…
Maps – ลาจากอากู๋ ซบอกพี่ต้อมและผองเพื่อนแทน
ถือเป็นการถอนสมอจากคู่แข่งอย่างเป็นทางการ เมื่อ Apple เลิกใช้แผนที่ที่ใช้บริการหลักจาก Google มาตั้งแต่ iOS 1.0 แล้ว โดยใน iOS 6 จะเป็นการเริ่มต้นใหม่กับการใช้แผนที่โดยใช้ข้อมูลของ TomTom เป็นหลัก และยังมีการใช้ข้อมูลของเจ้าอื่นๆ มาสนับสนุนด้วย อย่าง Intermap, LeadDog, Increment, Getchee, Localeze, MDA Information, Urban Mapping (ข้อมูลจาก The Next Web) โดยจะมีคุณสมบัติ turn-by-turn ที่จะทำให้เราสามารถให้ iPhone หรือ iPad สามารถพาเราไปยังจุดหมายได้ เหมือนใช้ GPS ไปในตัว และยังสามารถแนะนำร้านอาหารที่อยู่ ด้วยการใช้ Siri
นอกเหนือจากนั้น ยังมีการทำแผนที่ใน iOS เป็นแบบ 3 มิติโดยใช้เทคโนโลยี FlyOver ซึ่งก็ไปชนกัน Google อย่างจังที่เพิ่งจะเปิดตัวไปก่อนหน้างาน WWDC 2012 เพียง 1 อาทิตย์ ถือว่าเป็นการสะบัดรักจากผู้ให้บริการแผนที่อันดับ 1 อย่างเป็นทางการ
การร่วมมือของพรรคพวก Apple ในการบุก Google คราวนี้ เหมือนเอา หัวโจก 2 ฝั่งมาเจอกัน ด้านนึงมีลูกน้องอีก 10 ที่เคยรบมาบ้าง อีกด้านมีคนเดียวแต่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก …ศึกครั้งนี้รอดูยาวๆ ครับ
Features for China – จีนจ๋าเปิ้ลมาแล้วจ๊ะ
สิ่งที่สังเกตได้ชัดเจนมากๆ สำหรับงาน WWDC ครั้งนี้ นั่นคือการที่ Apple หันมาทำทุกสิ่งอย่างสนองต่อคนจีนทั้งหมด หากใครที่ตามข่าวมาบ้างจะพบว่า ช่วง 2-3 เดือนก่อน ทิม คุก ไปประเทศจีนด้วยตัวเองเลย ทั้งนี้น่าจะไปเพื่อเจรจาธุรกิจเอง รวมทั้งไปที่โรงงานผลิตเงิน เอ้ย อุปกรณ์ Apple ที่ส่งขายทั่วโลกอย่าง Foxconn นั่นเอง รวมทั้งการที่จีนมีความเคลื่อนไหวในวงการไอที ที่ถือได้ว่ามากที่สุดแล้วในเวลานี้ ด้วยจำนวนประชากร และบริษัทไอที ที่เพิ่มขึ้นมาและการเข้าไปขยายสาขาที่เพิ่มเหมือนดอกเห็ด จึงน่าจะเป็นสาเหตุให้ Apple เล็งเป้าเพื่อทำอะไรก็ได้มาสนองคนจีนมากที่สุด เพราะยิ่งทำได้มาก ก็เท่ากับได้เงินมากเท่านั้น
บริการต่างๆ ที่มีอยู่ในจีน ใน iOS และ OS X พร้อมจัดให้เต็มๆ
Facebook – ในที่สุด เอ็งก็มา
แม้จะยึกยักไปมา แต่ในที่สุด Facebook ของเสี่ยมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ก็มารวมอยู่ใน iOS 6 เสียที หลังจากที่ Twitter ถูกรวมอยู่แล้วใน iOS 5 ซึ่งถ้าหากมองกันดีดี Facebook ถ้าไม่มองว่าหุ้นสถานการณ์ไม่ค่อยดีแล้ว ด้วยความแข็งแกร่งของ Social Network ที่มีจำนวนผู้ใช้งานกว่า 900 ล้านคนแล้ว การมารวมกับ iOS จะเป็นช่องทางที่ทำให้จำนวนผู้ใช้งานและอัตราการใช้งานเพิ่มสูงขึ้นไปอีก เหมือนกับที่เกิดขึ้นใน Twitter ที่มีตัวเลขใน Keynote ว่ามีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า และมีการใช้งานบริการผ่าน iOS มากมายหลายพันล้านครั้งสำหรับข้อความทวีต
จากสถานการณ์นี้มาร์คซัคคงคิดอะไรไม่ยากในการมารวมตัวกัน ซึ่งนั่นก็มีผลดีกับ Facebook ตามที่บอกไปแล้ว และที่สำคัญคุณสมบัติต่างๆ ที่มีอยู่ใน iOS อยู่แล้วก็จะมี service ของ Facebook ไปผูกติดด้วย…นี่ยังไม่คิดถึงว่า ถ้าเกิดมี Facebook Ads แฝงมาจะขนาดไหนกัน จำนวนคนใช้ iOS 6 จะมีกี่สิบล้านเครื่องหนอ
ทิ้งท้าย
ปล. ใครที่รอใช้งาน iOS 6 แบบเต็มๆ ก็ต้องรอไปตอน the new iPhone ใกล้ๆ เปิดตัวครับ น่าจะประมาณกันยายนนี้ ส่วนใครที่อยากลองลงตอนนี้ จะต้องมี developer account ของทาง Apple เท่านั้น ถึงจะสามารถลงและเปิดเครื่องได้ ใครไม่มีอย่าลงเด็ดขาดครับ!!
ปล.บทความนี้ขึ้นบนเว็บ thumbsup.in.th ด้วยครับ
ที่มา: Live Blog จาก The Verge, Engadget, macrumors, limptinc, mobiledista