ท่ามกลางอาการปวดหัวเพราะโดนฝนเมื่อวันก่อน เลยนึกอะไรจะเขียนระบายความในใจสักหน่อย น่าจะดีขึ้นนะ (หวังว่า)
เมื่อวานเข็มไมล์ของชีวิตมาสู่ครึ่งหลังของอายุในการทำงานก่อนเกษียณในชีวิตแล้ว นั่นคือ 31 ขวบ เป็นอีกปีที่ผมได้รับคำอวยพรกระหน่ำซัมเมอร์เซลส์จากผู้คนมากหน้าหลายตาที่ผมรู้จัก ผมก็อยากจะบอกอีกทีว่า ขอบคุณสำหรับคำอวยพรทุกคนจริงๆ ครับ แค่ผมนั่งอ่านผมก็นั่งน้ำตาไหลดีใจเลย
น้ำตาที่ไหล เกิดจากความดีใจและตื่นตันใจล้วนๆ ผนวกกับงานที่ตั้งใจล่าสุดมันเสร็จลงเมื่อวันคล้ายวันเกิดผมพอดี เดี๋ยวคงได้เห็นกันหล่ะครับว่ามันคืออะไร ^^
ทุกครั้งที่ผมทำงาน ถ้าผมรักที่จะทำมันจริงๆ ผมไม่ค่อยเกี่ยงอะไรหรอก ขอแค่ผมใช้เวลากับมันอย่างเต็มที่ให้ได้งานที่ผมตั้งใจปั๊มมันออกมา (ยังกับแผ่น princo) และผลงานที่ออกมามันดีที่สุดตามที่ผมและคนที่เกี่ยวข้องพอใจ
และทุกครั้งที่ผมต้องนั่งทำงาน ผมก็จะนึกถึงเพลง Bodyslam ของ Bodyslam คือใครจะว่าโม้ก็แล้วแต่ แต่ทุกครั้งที่ทำ ผมทุ่มมันสุดตัวจริงๆ จะอดหลับอดนอน ไม่ว่าจะอะไรก็จะเข็นมันให้เสร็จ แล้วเวลาที่เราหันกลับไปมอง เราจะไม่เสียดายที่เราลงแรงลงไป
นอกจากจะใช้แรงกายแรงใจแล้ว สิ่งที่ต้องมีด้วยนั่นคือเวลา สารภาพเลยว่าทุกวันนี้ที่ผมดำรงชีวิตอยู่ ได้นอนไม่เคยเกิน 5 ชั่วโมงในวันทำงาน จะได้นอนเต็มๆ จริงๆ ก็เป็นเสาร์อาทิตย์ หรือไม่ก็ร่างกายไม่ไหวจริงๆ ถึงจะหลับยาวซึ่งเป็นอยู่บ่อยๆ
ทุกอย่างที่บอกมามันใช้เวลาทั้งนั้น ไม่มีใครเถียงเลยว่าวันนึงของคนเรามีเท่ากันคือ 24 ชั่วโมง แต่การลำดับความสำคัญของคนทำให้คนแตกต่างกันไป บางคนกำลังนอนอยู่ บางคนกำลังปั่นบทความแปลข่าวงกๆ กลางดึก บางคนหยิบหนังสือมาอ่าน บางคนทวีตข้อความหรือเขียน status บ่นนั่นนี่บน Facebook ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่แต่ละคนจะเอาใจใส่และให้ความสำคัญกับมัน
ในโลกความเป็นจริง ที่เราต้องอยู่กับมนุษย์มากหน้าหลายตา ที่เป็นพ่อแม่หรือพี่น้องครอบครัวเดียวกับคุณ คนที่คุณรักและรักคุณ ทุกอย่างคือสิ่งที่ต้องให้เวลา
แต่ครั้นจะให้เวลาอยู่ฝ่ายเดียวมันก็คงไม่ได้ ทุกคนที่เกี่ยวข้องก็ต้องเทเวลาของตัวเองลงมาด้วย เพราะถ้าเทคนเดียว เค้าก็เรียกว่า “เสียเวลาเปล่า”
จริงๆ เรื่องนี้ผมก็ผิดเองอยู่บ่อยๆ เพราะด้วยการอยู่ตัวคนเดียวตั้งแต่เรียนขอนแก่น จนมาทำงานเป็นมนุษย์ที่ขายวิญญาณให้บริษัทในกทม.มันทำให้ผมใช้เวลาคนเดียวแบบเคยตัว จะทำอะไรก็ทำคนเดียวตัวคนเดียว
จนกระทั่งม๊าเสียไป ทุกครั้งที่คิดเรื่องเวลาขึ้นมา ก็เป็นคำถามที่กลับมาทิ่มแทงในใจทุกครั้งว่า เราจะมีเวลาให้คนอื่นบ้างไหม หรือแม้แต่คนอื่นๆ เค้าจะมีเวลาให้กับคนอย่างไรไหม สุดท้ายก็มาพบว่า ต่อให้คุณให้เวลาหรือรับเวลาจากคนที่คู่ควรที่จะให้มากสักเท่าไหร่ มันก็ไม่มีทางพอ
…แต่ถ้าหากเราได้ให้เวลาไปแล้ว และให้ด้วยความเต็มใจ เราก็คงทำได้แค่ยิ้มรับกับความจริง ยิ้มให้กับความทุ่มเทและการให้เวลาที่เราตั้งใจให้อย่างเต็มที่ และก้าวเดินต่อไป
ปล. ป๊าและน้องออกคำสั่งแล้วว่า ตอนนี้ทำงานเยอะเกินไปแล้ว ถ้าไม่อยากเป็นอะไรไปก่อนวัยอันควร ให้เลิกทำสักอย่างนึง ซึ่งผมว่าผมเลือกได้หล่ะครับ…