เรื่องประสบการณ์การใช้งาน (User Experience: UX) ถูกพูดถึงอยู่เรื่อยๆ ครับ โดยเฉพาะถ้าใครที่ทำหรือต้องใช้แอปบนมือถือนี่จะเข้าใจได้ง่ายกว่าเดิม เพราะการใช้แอป ถ้าใช้งานยาก, หาสิ่งที่ต้องการไม่ได้ทุกอย่างก็จบ คนเลิกใช้ กดลบก็ว่ากันไป จริงๆ แอปในช่วงหลังๆ ผมว่ามันดีขึ้นกว่าแต่ก่อน เพราะผู้พัฒนาเขาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากกว่าแต่ก่อนเยอะ
แต่ถ้าจะให้ยกตัวอย่างที่ใกล้ตัวกว่านี้ ที่มันใกล้ชิดกับคนเมืองโดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ ผมก็คงหลีกเลี่ยงที่ยกระบบขนส่งสาธารณะที่ชื่อว่า BTS และ MRT ไม่ได้เสียจริงๆ
โดยส่วนตัวแล้วผมเคยไปเมืองนอกมาก็หลายเมือง เมืองที่ผมไปนั้นก็จะมีระบบในการใช้งานที่ง่าย ผูกกับการใช้งานอื่นๆ นอกจากการใช้โดยสารรถไฟ ซึ่งไปทีไรก็ใบเดียวจบ แต่พออยู่เมืองไทยแล้ว… ก็อย่างที่เห็นหล่ะครับ พกไปเถิดครับ มากกว่า 3-4 ใบ น่าจะได้ใช้หมด
เมื่อสัก 2 – 3 ปีที่ผ่านมาผมได้ยินมาว่า BTS / MRT จะได้ใช้บัตรเดียวกันแล้ว แต่จนถึงตอนนี้… พกไปเถอะครับ 2 ใบ แตะสลับกันมั่วตั้ว จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะได้ใช้ใบเดียวกันเสียที
(ก็น่าจะเคยไปดูงานผลาญภาษีเราอยู่บ่อยๆ นะครับ ทำไมไม่คิดทำรวมกันตั้งแต่แรก ผลประโยชน์คงไม่ลงตัวสินะพวกเอ็ง)
และพอมองไปถึงการใช้บัตรในแต่ละที แบบตัดเรื่องใช้บัตรร่วมกันไปนะครับ ก็จะเห็นว่ามันไร้สาระตั้งแต่ขั้นตอนการซื้อบัตรเลย
- BTS หากเราต้องการซื้อบัตรเพื่อโดยสาร เราจะต้องแลกเหรียญครับ โดยจะมีพนักงาน BTS คอยแลก เมื่อแลกแล้วจึงไปกดที่ตู้อีกครั้งเพื่อเข้าสู่ระบบ (แม้จะมีตู้อัตโนมัติก็เถอะ แต่ตู้ก็ใหญ่เท่าบ้าน ใช้งานก็ยาก และเสียบ่อยที่สุดในจักรวาล)
- MRT ดีหน่อย เพราะทำได้ 2 ทางคือระบบอัตโนมัติ ด้วยตู้ที่มีหน้า interface ใหญ่เท่าบ้าน กับระบบอัตโนเท้าที่เดินไปบอกพนักงาน จากนั้นก็ได้เหรียญไปพกเล่น
มีที่ไหนครับที่ต้องทำ 2 ขั้นตอน 2 คิวเพื่อแลกเหรียญก่อนแล้วค่อยเข้าระบบได้ ทั้งที่มันควรจะจบได้ด้วยตัวมันเองทีเดียว
นี่แค่ขั้นตอนยังน่ามึนหัวแล้ว ยังมีเรื่องยิบย่อยอีก อย่างตู้แจกเหรียญ BTS / MRT
สำหรับคนไทยแล้ว หลายคนคงจะเคยเจอปัญหาว่า เอ้อมีตู้เว้ย ลองดูจะได้ไม่ต้องไปแลกเหรียญ แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือ บัตร 1 ใบ พร้อมกับเหรียญอีก 1 กำมือ หากใช้แบงค์ร้อยในการซื้อ จากนั้นเราก็จะไม่ใช้ตู้นั้นอีกเลย (อย่างผม)
ส่วนตู้ของ MRT ที่ใช้ระบบเหรียญแทนการใช้บัตรสำหรับการใช้งานเที่ยวเดียว จะมองว่าดีก็ได้ จะมองว่าเยินก็ได้เหมือนกัน ความดีของมันที่นึกออกอย่างเดียวคือ ขโมยเอามาเป็นที่ระลึกได้ง่าย ในส่วนการใช้งานแทบทุกครั้งที่เห็นชาวต่างชาติใช้งานก็จะพบกับความพริ้วในการปล่อยเหรียญแล้วเดินเข้าไป และเหรียญก็หลุดออก ด้วยการออกแบบที่เยิน เพราะดันทะลึ่งมีการเข้าใช้งาน 2 แบบ คือเหรียญและบัตร ผมก็ไม่รู้หรอกว่าเขาเอาออกไรมาคิดมาออกแบบการแยกมาเป็น 2 แบบนี้ เขร้!
อีกอย่างคืดตู้ระบบสัมผัสเนี๊ยะ ทำไมจะต้องทำให้มันโค้งเหมือนเส้นทางของรถไฟฟ้าด้วย แค่ทำให้เป็นปุ่ม และรู้ว่ามันชื่อสถานีไหนอย่างชัดเจนเท่านั้นก็พอแล้วไหม พอจุดที่จะสัมผัสมันเล็ก มันก็แตะยากอีก กว่าจะแตะได้ก็หงุดหงิด เขร้!
…ไปดูงานเมืองนอกก็ยังคงไม่ช่วยอะไร และคงจะต้องไปดูอีก
เรื่องหลักเลยที่ผมอยากจะพูดก็คือการออกแบบทางเข้าครับ (เฮ้ย เพิ่งเรื่องหลักเหรอวะ)
BTS ผมว่าเป็นการออกแบบที่ดีแล้ว คือทางเข้าออกสามารถที่จะใช้ได้ในอันเดียวกัน และมันอยู่ใกล้กับตู้ปลาที่มีพนักงาน BTS แหวกว่ายอยู่ แต่ถ้ามันจะดีก็ควรทำแบบญี่ปุ่น คือมีช่องที่มันใหญ่หน่อยเพื่อลากกระเป๋าได้ ไม่งั้นก็จะต้องอาศัยพี่ยามมาช่วยเราตลอดเวลา
แต่อี MRT นี่สิ ไม่รู้เอาสมองส่วนใดคิดในการแยกทางเข้ากับทางออกให้อยู่ห่างกันเป็น 10 เมตร พอมีปัญหาในการใช้งานเมื่อจะออกจากระบบ ก็ต้องวิ่งรอบสถานีเพื่อไปหา ทั้งที่แม่งควรจะออกแบบให้มันอยู่ใกล้ๆ กันไหม หรือไม่ก็ utilize ให้มันใช้งานได้สองทาง เพื่อลดจำนวน gate ที่ต้องใช้อย่างน้อยๆ ก็หายไปหลายอันต่อสถานี แล้วเอาไปพัฒนาอะไรอย่างอื่นได้อีกเยอะ
ผมว่ามันอาจจะเยินตั้งแต่การออกแบบสถานีและการวางโครงสร้างอันสุดแสนจะไม่เกิดประโยชน์แล้วก็เป็นได้ ที่สามารถปล่อยพื้นที่โล่งโคตรๆ ได้ภายในสถานีได้อย่างไร้ประโยชน์จริงๆ
นี่แหละที่ทำให้ประสบการณ์การใช้งานมันแตกต่างออกไปจากเมืองนอก …ในทางที่เลวมาก
.
.
.
สุดท้าย…สิ่งที่ผมคิดว่าไร้ประโยชน์คือ พี่ๆ ซีเคียวริตี้ที่รอให้เราเปิดกระเป๋าเพื่อโชว์ว่า เราใช้ laptop ยี่ห้ออะไร, ใช้ซับมันตัวไหนอยู่, กระเป๋าตังค์ทรงอะไร, รองพื้นเบอร์อะไรนะ, ลิปสติกที่ทายี่ห้ออะไร บลา บลา บลา
คนที่ได้รับประโยชน์เพียงคนเดียวที่ผมคิดออกในการส่องกระเป๋า ไม่ใช่ผู้โดยสารหรอกครับ
แต่เป็น บริษัทผลิตถ่ายไฟฉาย…
ภาพจาก thaivisa.com นะครับ