ภาพประกอบจาก pim.in.th
วันนี้ 1 มิถุนายน 2558 ระหว่างขับรถกลับเข้ามากรุงเทพเพื่อมาใช้ชีวิตเป็นทาสตัวอักษรและทาสทางความคิดอีกครั้ง จังหวะที่แวะที่ฟาร์มโชคชัยเพื่อหาอะไรกิน ได้เปิดอ่านข้อความนึงผ่านแอปพลิเคชันสัญลักษณ์สีฟ้ามีตัว F เป็นสีขาว เมื่ออ่านจบก็ถึงกับส่ายหัวในใจ แล้วผมก็เอาข้อความนั้นกลับมาคิดในระหว่างขับรถต่อ พลันนึกถึงรายการรายการหนึ่งของแชมป์ ทีปกร ชื่อว่า วัฒนธรรมชุบแป้งทอด ก็เลยได้คิดนั่นนี่มาตลอดทาง
ปล. ออกตัวก่อนว่ากลัวลืมมาก ต้องมาเขียนเอาไว้ก่อน ไม่งั้นความคิดก็จะสลายไปหลังจากหลับนอนกับตัวเอง
ย้อนกลับไปไม่กี่ปี อาหารจานโปรดสมัยเด็กๆ จานหนึ่ง นอกจากข้าวมันไก่ที่เป็นแดกด่วนสไตล์ ก็จะเป็นกับข้าวที่ชื่อว่า กุ้งชุบแป้งทอด แป้งหนาๆ น้ำจิ้มบ๊วย กินเปล่าๆ หรือกินกับข้าวก็ได้ อ้าส์~ แล้วทุกๆ ครั้งในช่วงเวลาเด็ก เมนูนี้ก็ถูกมาสั่งวางบนจานแทบทุกครั้ง ทานกัน 4 คน ป๊า ม๊า บี ผม
แต่เมื่อลองคิดอีกที ลองนึกครับว่าเราสั่งกุ้งชุปแป้งทอดเพราะอะไร สำหรับผม มันอร่อยตรงการกินแป้งกับน้ำจิ้มบ๊วยนั่นแหละ ทั้งๆ ที่ส่วนหลักของมันและราคาของอาหารที่มันแพง กลับไม่ใช่สิ่งที่เราคิดว่าอะไร แต่กลับเป็นกุ้งต่างหาก
…สิ่งที่ล้อมรอบทำให้เราลืมสิ่งที่เป็นหลักไป ลองดูชื่อก็ได้ครับ กุ้งชุบแป้ง กุ้งยังนำชาวบ้านแต่ไม่มีคนคิดถึงมันเลยนอกจากเห็นหางมันก็พอแล้ว
พอมานึกถึงแป้ง ส่วนที่อร่อย ถูกปากคน ไปทานร้านไหนๆ ก็ดูจะแตกต่างกันไป เพราะแน่นอนว่าคนปรุงคนทำแป้งคลุกแป้งไม่เหมือนกัน แม้แต่กระทะหรือน้ำมันที่ใช้ทอดก็อาจจะไม่เหมือนกัน แต่เป็นไปได้มากที่สุดคือการได้กุ้งมาจากเจ้าเดียวกัน (ที่ไม่ใช่ aro)
ทุกคนไม่สนใจกุ้ง จนกว่าคุณจะแพ้กุ้ง
สิ่งที่ผมอยากจะหมายถึงก็คือ ความสำคัญครับ หรือแก่นของมัน แม้คุณจะสนใจว่าแป้งมันจะกรอบหอมแม้จะอมน้ำมันหลายล้านบาร์เรล จิ้มกับน้ำจิ้มบ๊วยจากต้นบ๊วยที่ต้นออกดอกปีละ 1 วันเท่านั้นก็ตาม แต่สุดท้ายคุณก็ไม่ได้สั่งแป้งทอด+น้ำจิ้มเสียหน่อย คุณก็ยังต้องสั่งและกินกุ้งอยู่ดี
หรือถ้าจะมาเจาะจงเรื่องแป้ง กุ๊กแต่ละคนก็มีสูตรของใครของมัน (ที่ไม่ใช่สูตรคอนทร้า) ครั้นจะให้กุ๊กคนนึงไปบอกให้กุ๊กอีกคนทำตามเขา มันก็ไม่น่าจะใช่แนวหรือเปล่าที่ต้องทำอย่างนั้น เพราะกุ๊กแต่ละคนก็ย่อมอยากจะปรุงสิ่งที่ดีที่สุดในแนวทางของตัวเอง อาจจะได้แนวทางมาบ้าง แต่คงไปบังคับอะไรไม่ได้ นอกจากกุ๊กคนที่ฟังนั่นไม่มีหัวคิดที่จะทำอะไรทั้งนั้น รอฟังคำสั่งอย่างเดียว
จริงๆ ผมก็คงว่าอะไรไม่ได้ ที่เขาจะฟังตลอดและทำตามตลอด แต่สุดท้ายคนเราต้องการความอิสระทางความคิด ซึ่งมันก็เป็นแกนหลังของเราเอง ไม่มีใครจูงจมูกได้
ดังนั้นเราควรจะต้องรักษาอธิปไตยทางความคิดของเรา ด้วยการเคลือบสิ่งที่เรามีอยู่ด้วยแป้งจากความคิดของเราแป้งผสมกับแป้งความคิดกับคนอื่นๆ (ในทางที่เหมาะและที่ดี)
ทั้งนี้ก็เพื่อให้ทุกๆ อย่างนั้นลงตัวและเป็นตัวของตัวเองมากที่สุด ไม่ใช่จะมีแต่อัตตามั่นใจว่าของตัวเองดีเลิศตลอดเวลา …มันไม่มีอะไรที่ยั่งยืนหรอกครับ