เมื่อครั้งที่ผมมาวิ่งมาราธอนแรกของชีวิตที่เชียงใหม่ เคยแอบฝันเล็กๆ ไว้ว่าถ้าเราจะวิ่งขึ้นดอยสุเทพ สภาพเราจะเป็นยังไงนะ ขนาดมาราธอนยังบอบช้ำขนาดนี้เลย แล้วผมก็เก็บความฝันเล็กๆ นี้ไว้ในใจว่าสักวัน อย่างน้อยๆ ก่อนผมตายหรือไม่มีแรงใจจะวิ่ง น่าจะต้องวิ่งขึ้นดอยสุเทพให้ได้สัก 1 ครั้ง
จนมาช่วง 2-3 ปีหลัง 2562-64 เป็นช่วงที่ผมมาเชียงใหม่บ่อยมากๆ ไม่ว่าจะด้วยเรื่องการมางานวิ่งมาราธอน (งาน CMU), การหาเรื่องมาพักผ่อน, มาหาเพื่อน Com14 ที่ย้ายบ้านมาที่นี่, การมาบนที่วัดพระธาตุดอยคำ หรือเรื่องไอดอล CGM48 ก็ตามที (แต่ยังไม่ได้มาเพราะเรื่องนี้สักทีแบบจริงๆ จังๆ)
แต่ทั้งหมดนี้ก็ยังคงมีเรื่องค้างคาใจผม นั่นก็คือการวิ่งขึ้นดอยสุเทพ เหมือนเป็นปมที่ยังไม่ถูกแก้เสียที
ต้นเดือน พ.ย. ถือเป็นโอกาสอันดีที่เราจะไปเชียงใหม่ เพราะประเทศเปิดแล้ว และสายการบินก็บินได้ตามปกติแบบ 70% เราเลยเริ่มเชควันที่น่าจะสะดวกไปที่สุด สุดท้ายมาจบที่ช่วง 20-21 พ.ย. ก็เลยตัดสินใจทุกอย่างจองตั๋วเครื่องบิน จองที่พัก จองรถ เพื่อเป้าหมายการมาวิ่งขึ้นดอย
แต่ความน่าเสียดายก็ตามมา เพราะ BNK48 ประกาศรอบชดเชยบัตรที่ไม่ได้ดูช่วงโควิด แล้วก็มาเป็นช่วงที่ผมจองตั๋วไปแล้วด้วย ก็เลยด่าทาง Official ไป 1 เมล เพราะมันไม่แฟร์เลยกับคนที่ไม่มีทางเลือก บังคับให้ดูเฉพาะวันที่กำหนดเท่านั้นๆ คืนเงินก็ไม่ได้ และก็ตัดใจในที่สุด
ช่วงระหว่างนั้นเราก็มีไปวิ่งที่สวนรถไฟบ่อยขึ้นเพื่อให้ขาและร่างกายเริ่มจดจำว่ามีการใช้กล้ามเนื้อและกำลังมีงานใหญ่รออยู่
พอมาถึงวันที่ต้องบินมา ทุกอย่างเรียบร้อยดี เตรียมอุปกรณ์วิ่ง โดยเฉพาะเป้น้ำ ที่เราสั่งซื้อเตรียมมาสำหรับวิ่งขึ้นดอยโดยเฉพาะ บินมาลงเรียบร้อยถึงที่พัก แล้วก็เปลี่ยนชุดไปวิ่งที่อ่างแก้ว มช.ทันที เพื่อวอร์มเล็กน้อย ประมาณ 5 กม. ทุกอย่างดูปกติหมดและขาก็ไม่ได้ล้ามาก รวมไปถึงได้แอบวิ่งตอนขึ้นเนินด้วย เพราะมีบางช่วงของการวิ่งมีต้องขึ้นเนินก็เลยถือเป็นการลองเทสไปในตัว
คืนก่อนวันวิ่ง เริ่มดูว่าเราจะไปเอารถจอดไว้ตรงไหนดี สุดท้ายก็เลยเลือกที่อนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย เพราะเห็นที่จอดรถค่อนข้างเยอะพอสมควร และจะได้ไหว้ก่อนเริ่มวิ่งที่จุดเริ่มต้นตรงนี้
เช้าวันวิ่ง ผมตื่น 5:50 เพื่อจัดการตัวเองและขับรถไปที่อนุสาวรีย์ฯ ถึงตรงนั้น 6:30 เดินมาไหว้ครูบาฯ แล้วก็เริ่มวิ่ง 6:38
ผมอาศํยการวิ่งๆ เดินๆ ตรงไหนไม่ชันมากก็วิ่ง ถ้าเริ่มชันหรือโค้งแบบหักๆ หน่อย ก็เดิน ซึ่งส่วนใหญ่เดินมากกว่า ฮ่าๆ
ระหว่างทางก็มีคนขี่จักรยานขี่ผ่านไป บางคันก็เหมือนเงินหลายแสนแล่นผ่านตัวไป ส่วนคนที่วิ่งก็มีเยอะพอสมควร แต่ก็จะเห็นว่าน่าจะเป็นขาประจำเพราะด้วย pace ที่วิ่งคือฉิวมาก และก็เห็นคนวิ่งสวนลงมาแล้ว บ้าไปแล้ว วิ่งเร็วมาก
ผ่านไปสักครึ่งทางเริ่มสังเกตว่า ทำไมมีตากล้องมาถ่ายรูปด้วย แล้วไม่ใช่มีแค่ 1 แต่มี 4-5 ที่ต่างระยะทางกันไป ซึ่งบอกตรงๆ ว่าตอนแรกผมคิดว่าน่าจะมาถ่ายแบบเป็นทีมถ่ายให้พวกปั่นจักรยาน แต่พอมาดูแล้ว เห้ย เขาถ่ายคนวิ่งด้วย เพราะตอนจังหวะผมหมดสภาพอยู่คนเดียว ก็ยังได้ยินเสียงชัตเตอร์ดัง ก็เลยแปลกใจและก็สงสัยว่า แล้วรูปที่เราถูกถ่ายมันจะไปอยู่ไหนเพจไหนวะ 555
ระหว่างทางผมก็วิ่งๆ เดินๆ ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ สภาพขาก็ยังปกติอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องดีมากเพราะเกิดจากการเราไปวิ่งบ่อยขึ้นในช่วงหลัง
จาก 11 โลจนมาเหลือช่วงท้ายๆ 3 กม. ก็เริ่มรู้สึกถึงความชันกว่าเดิม และที่ชันสุดๆ ก็คือก่อนถึงดอยสุเทพใน กม.สุดท้าย เพราะมันเป็นตัว U แบบซิกแซก ซึ่งแน่นอนช่วงนั้นผมเดินรวด ฮ่าๆ


พอพ้นตรงนี้ไปสิ่งที่เห็นตรงหน้าคือร้านค้าและรถที่จอดเรียงราย ใช่แล้วครับ ผมวิ่งมาถึงแล้ว ด้วยการใช้เวลาประมาณ 1.40 ชม. ซึ่งก็เร็วกว่าที่คิดไว้เพราะคิดไว้ถึง 2 ชั่วโมง แต่ก็ยังไม่โอเคสำหรับตัวเองเท่าไหร่ เพราะอยากวิ่งขึ้นไม่เกิน 90 นาที
ถึงตรงนั้นแล้วก็เลยถ่ายรูปว่าวิ่งมาถึงแล้วนะ แล้วก็กลับตัวลงข้างล่างทันที เพราะจะได้ไม่เสียเวลาและจะได้กินข้าวเช้าโรงแรมทัน

ตอนจังหวะขาลง ผมก็ทำใจไว้แล้วว่ามันน่าจะยากมาก เพราะมันไม่ใช่การก้าวขาเพื่อเร่ง แต่เป็นการเบรคไม่ให้เสียการทรงตัว ซึ่งความเร็วช่วงนี้จะเร็วกว่าตอนขาขึ้นมากพอสมควร แต่ผมก็ต้องมีหยุดเดินบ้างเพราะเริ่มมีอาการน่องกระตุกเป็นช่วงช่วงหลินฮุ่ย แต่ก็ประคองตัวมาเรื่อยๆ พยายามวิ่งๆ เดินๆ ท่ามกลางแดดที่เผามากๆ ไม่เหมือนตอนขาขึ้นที่แดดอ่อนๆ รำไร

ในช่วงขาลงผมก็ยังเจอคนที่วิ่งขึ้นมาอยู่บ้าง มีทั้งคนที่ผมแซงขึ้นมา และคนใหม่ๆ แต่จำนวนน้อยมากแล้ว เพราะด้วยแดดที่เผาเหลือเกินและส่วนใหญ่จะทยอยกันลงกันเสียมากกว่า
พอมาถึงช่วงท้ายๆ น่องและต้นขาเริ่มกระตุกอีกรอบ คราวนี้เดินยาวเลยครับ จากเดิมที่วิ่งมากกว่าเดิน เพราะกลัวว่าจะไม่สามารถใช้ขาได้หลังจากนี้

แล้วผมก็กลับมาถึงครูบาศรีวิชัย จบทุกอย่างอยู่ที่ 21.6 กม. ใช้เวลาไป 3 ชั่วโมงนิดๆ ซึ่งถือว่านานกว่าที่คาดไว้พอสมควร
และสภาพขา ในขณะที่เขียนบล็อกนี้ก็ยังพอเดินได้ปกติประมาณ 80% อาจจะมีก้มโอย ลุกโอย นั่งโอย บ้างบางที แต่ก็ไม่ถือว่าหนักมาก เดินเหินได้สบายพอสมควร
ถึงตอนนี้ผมเริ่มคิดจะกลับมาแก้แค้นการวิ่งอีกครั้งพร้อมกับตั้งเป้าหมายใหม่ โดยการขึ้นไปอีกสเต็ปนึง ที่ พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศ ที่อยู่ถัดจากดอยสุเทพประมาณ 4 กม. (ระยะทางตามที่ป้ายเขาบอกนะ)
ก็อาจจะเป็นเร็วๆ นี้ที่ได้กลับมาวิ่งแก้ตัวอีกครั้งครับ
สรุป ถ้าใครอยากวิ่งขึ้นดอย…
- ซ้อมวิ่งให้บ่อยๆ ทำระยะให้เกิน 10km ให้ได้ เพื่อให้กล้ามเนื้อจดจำการวิ่งและออกกำลังของเรา ยิ่งวิ่งเยอะยิ่งดี
- ถ้ามีโอกาสเข้ายิม เล่นส่วนขาให้เยอะหน่อยครับ คิดว่าช่วยได้เยอะ (แต่ผมไม่ชอบการเข้ายิมด้วยเหตุผลส่วนตัว)
- พวกอุปกรณ์อะไรทั้งหลาย ไม่จำเป็นต้องซื้อเป้ใส่ของ+น้ำแบบผมก็ได้ ผมเห็นคนถือขวดน้ำวิ่งกันเยอะแยะครับ แต่ที่แน่ๆ ควรมีติดตัวไว้จริงๆ เพราะเราสูญเสียน้ำระหว่างการวิ่งตลอด การมีน้ำช่วยให้ชดเชยตรงนี้ได้
- การจอดรถ ถ้าจะเลือกจอดที่ครูบาแบบผมก็ได้ครับ แต่ถ้าอยากจะวิ่งให้ได้ครบสมบูรณ์ อาจจะต้องเลือกมาจอดแถวๆ สวนสัตว์เชียงใหม่ครับ แถวๆ นั้นจะมี กม.0 ตั้งอยู่ และระยะรวมในการวิ่งขึ้นไปคือ 12 กม.
- ทางขึ้นจะเปิดตอนตี 5 แต่ตอนผมตื่นตอนเกือบๆ 6 โมง พบว่าฟ้ายังไม่สว่างดี แนะนำว่าออกช่วงเวลาเดียวกับผมก็โอเคนะครับ แต่อย่าเกิน 7 โมงเลย เพราะตอนขากลับจะร้อนมากจริงๆ
- วิ่งจบขาอาจจะเดี้ยงได้ อันนี้ต้องระวังไว้สำหรับใครที่คิดว่าหลังวิ่งจบแล้วจะไปเปรี้ยวต่อ
ที่เหลือก็วิ่งให้สนุกและชื่นชมธรรมชาติระหว่างทางให้เต็มที่ครับ
ถึงแน่ๆ แค่ออกไปวิ่งครับ 🙂
อยากไปมั่งเลยครับ งืออออ