ผมจะ(โคตร)ชอบเวลาที่มีคนที่เรียน ป.โท หรือ ป.เอก มาบอกให้ช่วยทำข้อมูลหรือสัมภาษณ์เพื่อเอาไปใช้เป็นส่วนหนึ่งของข้อมูลเรียนของเขา ผมยินดีที่จะช่วยทำให้เสมอ ต่อให้จะมีค่าตอบแทนหรือไม่ก็ตาม ถ้าเขาจะให้ส่วนใหญ่ก็จะบอกว่าเก็บไว้เถอะครับ ผมยินดีช่วย (หล่อมะ 555) แต่มันคือความตั้งใจของผมจริงๆ ไม่อยากให้เขาต้องเสียเงินอะไรแบบนี้เพิ่ม อย่างน้อยก็ช่วยให้เขาประหยัดเอาไปซื้อของหรือทำพวกเอกสารเพื่อเตรียมสอบ Defend น่าจะดีกว่า
รอบนี้ก็เช่นกัน มีน้องที่รู้จักที่เคยทำงานที่เอเยนซี่ Tagged มาหา บอกให้ชวนไปช่วยวิทยานิพนธ์ของเพื่อนน้องเขาคนนึง ซึ่งหัวข้อมันเกี่ยวกับไอดอลที่ผม (ผมเหรอ) น่าจะคุ้นเคย ผมไม่คิดอะไรมาก ตบปากรับคำทันที ถึงแม้จะไม่รู้เลยว่ามันจะมีอะไรบ้าง แต่ Say Yes ไปก่อนแล้ว
หัวข้อชื่อว่า “Love Don’t Hurt: Ways to love better”
อันที่จริง วิทยานิพนธ์ชิ้นนี้ทำมาตั้งแต่ปีที่แล้วละครับ เพราะผมเคยวิดีโอคอลกับน้องลูกไม้ เจ้าของวิทยานิพนธ์นี้ ตอนนั้นคุยจบปั๊บก็คิดว่าไม่น่าจะมีอะไรแล้ว พอต้นเดือนเมษาก็มีเมลส่งมาบอกว่าจะมี workshop เราก็เลยอ๋อ จำได้ มีภาคต่อด้วยแฮะ 555 ซึ่งวันที่นัดมาเป็นวันที่ตรงกับ 2 งาน 1.งานจับมือใหญ่ BNK CGM 2.งานของ HatoBito ที่เขาใหญ่ ซึ่งผมโคตรอยากไปทั้งสองงาน แต่ก็ยังให้น้ำหนักกับวิทยานิพนธ์มากกว่า ก็เลยตอบตกลงไปเพื่อเข้า Workshop สัมภาษณ์กลุ่ม
ก่อนจะมาถึงวันนี้ น้องเจ้าของวิทยานิพนธ์ได้ไปสัมภาษณ์ไอดอลมาด้วยเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ไม่ได้มีการเปิดเผยว่าเป็นใครนะครับ ทั้งนี้ก็เพื่อให้ข้อมูลมีทุกด้าน
วัน Workshop นี่ผมแทบไม่เตรียมตัวอะไรเลยนอกจากตื่นให้ทัน เพราะเขาเริ่มตอน 9 โมง ซึ่งโชคดีหน่อยที่ช่วงนี้ผมไม่ได้ทำงานประจำ (เพิ่งจะออกมาสดๆ ร้อนๆ) เลยได้ปรับเวลานอน ซึ่งก็เลยทำให้การตื่นเช้าเป็นเรื่องสบายๆ สำหรับผมในตอนนี้
เอาจริงผมเกร็งนะเพราะเราไม่รู้ว่า Workshop จะมีอะไรบ้าง หรือว่าจะมีอะไรเป็น Jump Scare ไหม แบบมีไอดอลโผล่มา ฮ่าๆ ผมล้อเล่น จริงๆ ก็เกร็งแหละครับ เพราะมันคือการไปเจอกลุ่มคนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนแต่มีจุดร่วมเรื่องไอดอลเหมือนกัน รอบนี้รวมผมด้วยก็มี 6 คน บวกกรรมการในห้องซึ่งเป็นอาจารย์ 2 คน และน้องที่มาช่วย Run อีก 1 คน
ต้องบอกก่อนว่าหลังจากนี้ผมจะเล่าแบบคร่าวๆ นะครับ จะไม่ได้ลงรายละเอียด
ก่อนเริ่มกิจกรรมก็จะมีการให้เซ็นเอกสารเพื่อเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวกับการพูดคุยวันนี้ แต่จะไม่เปิดเผยชื่อตัว (สำหรับผมจะเปิดเผยหรือไม่ก็ไม่มีปัญหาใดๆ) เสร็จเรียบร้อยก็เริ่ม session เลย
กิจกรรมส่วนใหญ่เป็นการแสดงความคิดเห็นจากหัวข้อที่โยนขึ้นมาจากเจ้าของวิทยานิพนธ์และให้ทุกคนที่ร่วมสัมภาษณ์และนั่งล้อมเป็นวงกลมมาแชร์สิ่งที่ตัวเองคิดเห็น พื้นฐานของแต่ละคนก็ไม่ได้ตาม 48 ไทยไปซะทุกคน มีทั้งแบบตามญี่ปุ่น ตามเกาหลี หรือแม้กระทั่งเคยตาม 48 ไทยและเลิกตามไปแล้วด้วยเหตุผลบางประการ เรียกว่ามีหลากหลาย
ส่วนผม ยังตามอยู่แต่ดีกรีความอินไปเพิ่มที่ฝั่งเชียงใหม่มากกว่าแล้ว แหะๆ
การสนทนามีทั้งแบบเผยความในใจ ด้วยคำถามว่า จุดเริ่มต้นในการมาตาม ทำไมถึงมาตาม ทำไมถึงอิน บางคำตอบของบางท่านก็ทำผมอึ้งๆ สิ่งที่ได้ยินจากที่เขาพูดออกมามันมาจากใจจริงๆ ซึ่งผมเคยแต่อ่านเจอ พอมาเจอกับตากับหูจริงๆ ก็ทำผมน้ำตาไหลออกมาแบบไม่รู้ตัว
บางช่วงเจ้าของวิทยานิพนธ์ก็ทำออกมาในรูปแบบข้อมูลและเกมที่ทำรู้สึกว่าทำให้คนที่มาร่วม workshop ผ่อนคลายมากขึ้น ซึ่งช่วงแรกๆ มันหนักพอสมควรสำหรับผม
พอช่วงบ่ายก็กลับมาด้วยความหนักอีกครั้ง เพราะเป็นการมานั่งอ่าน Comment ที่หลายๆ คนเขียนถึงเกี่ยวกับไอดอล ซึ่งตัวผมเองอ่านมาประมาณนึงก็จะรู้ถึงความ “อีหยั๋งวะ” ของคนเขียน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นแนวตัวย่อ ไม่ก็ไม่เขียนชื่อแต่อธิบายมาซะยิบก็รู้เลยว่าเป็นใคร แต่แทบทุกอย่างก็จะเป็น Comment ที่ Toxic แทบทั้งนั้น อ่านเองยังรู้สึกขุ่นมัวเอง
แล้วไอดอลที่ต้องมาเจออะไรแบบนี้จิตใจเขาจะบอบช้ำขนาดไหนกัน
ตอนจบของช่วงนี้มีถามว่าเราจะแก้ไขปัญหานี้กันยังไง ผมบอกไปว่า ควรมีจิตแพทย์มาดูแลอย่างจริงจังเสียที ซึ่งผมก็ไม่รู้หรอกว่าจริงๆ แล้วต้นสังกัดแต่ละที่เขามีการดูแลหรือยกเรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญแรกๆ บ้างไหม หรือจะคิดแต่เรื่องธุรกิจ, Money Generator เพียงอย่างเดียว
การสนทนาแลกเปลี่ยนก็มีคำว่าประสาทแดกออกมาบ้างเป็นครั้งคราว แต่เราก็ไม่อยากพูดอะไรมาก เพราะเราไม่รู้ถึงบริบทหรือต้นทางของการเขียน Comment นี้ ก็เลยไม่อยากจะสรุปไปทางนั้น แม้ใจอยากจะเปล่งเสียงพูดออกมาก็ตาม
กิจกรรมทุกอย่างเสร็จสิ้นตอนราวๆ บ่ายสาม และก็ทำ Session สรุป ซึ่งถ้ามองถึงหัวข้อกับ Content ที่เกิดขึ้นวันนี้ก็แอบเสียดายที่เนื้อหาเบนจากหัวข้อไปหน่อย มันยังไม่ถึงระดับที่จะไปถึงได้ แต่ก็น่าจะพอได้อะไรกลับไปเป็นข้อมูลเพื่อทำให้ข้อมูลที่เขาพยายามทำขึ้นมาสำเร็จจนเป็นรูปเล่มได้
ก่อนสิ้นสุดการสัมภาษณ์กลุ่ม น้องเจ้าของวิทยานิพนธ์เปิดโอกาสให้พูด ผมเลยบอกไปสั้นๆ ว่า
“อยากให้ข้อมูลที่น้องทำและที่ทุกคนมาสัมภาษณ์วันนี้ ไปถึงมือบริษัทต้นสังกัดไอดอล เชื่อว่ามันจะช่วยกระตุกความคิดของเขาบ้างไม่มากก็น้อย”