ณ วันที่เริ่มพิมพ์บล็อกนี้ก็ผ่านมาวันที่ 9 ของเดือนที่ 2 ปี 2566 แล้ว ช่วงปีสองปีที่ผ่านมาเป็นปีที่ผมทุลักทุเลมากในทุกเรื่อง ทั้งชีวิต การงาน ซึ่งที่ผมได้ไปดูดวงมาเมื่อปีก่อนและปีที่แล้ว สิ่งที่ถูกทำนายออกมาก็เป็นไปตามนั้นเลย แบบไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ และในช่วงปีสองปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่ผมอายุเลข 4 นำหน้าก็มีเรื่องนึงที่ผมหยิบเอามาคิดนั่นคือเรื่องความตาย และวันที่ผมกำลังพิมพ์อยู่นี้ เรื่องนี้ก็ผุดมาอีกครั้ง
ออกตัวก่อนว่าเนื้อหาบล็อกนี้จะสะเปะสะปะมาก แค่รู้สึกว่าตอนนี้ไม่มีใครให้พูดด้วย ต้องอาศัยการพิมพ์เป็นการระบายออกมา
ช่วงชีวิตนี้ผมมีเรื่อง “ความตาย” เกี่ยวข้องอยู่ 3 เรื่อง คือ ตอนที่แม่เสีย, ตอนวูบขับรถตรงทางลาดมวกเหล็กจนรถเกือบคว่ำ และตอนที่รู้สึกว่าตัวเองแก้ไขปัญหาอะไรไม่ได้แล้วและอยากหาทางออก แต่สุดท้ายก็ยังมีคนมาช่วยสะกิดให้ผมยังอยู่ต่อ โดยเฉพาะน้องสาว เพราะทุกครั้งที่คิด หน้าน้องสาวจะผุดขึ้นมาทุกครั้ง
และวันนี้ เรื่องความตายก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง แต่เป็นการคิดไปล่วงหน้าด้วยหัวข้อย่อยแตกแขนงออกมาหลากหลาย
ถ้าเราตายแล้วเราจะยังไงวะ? …อันนี้สงสัย
แล้วที่บ้านจะเป็นยังไงบ้าง? …อันนี้ห่วงน้องกับพ่อมากๆ
แล้วจะได้เจอแม่สักที่ไหม? …อันนี้คิดถึงมากจริงๆ
แล้วงานที่ทำค้างไว้อยู่ใครจะทำต่อ ยิ่งมี issue ค้างอยู่ในมือ? …อันนี้ห่วงงาน เพราะเพิ่งเจอปัญหาจนเอามาคิดหนักจนร้องไห้
แล้วใครจะมางานเราบ้าง ใครจะช่วยจัดงานไหม?
และอื่นๆ
พอมันยิ่งคิดแล้วยิ่งฟุ้งกระจายมาก คิดไปก็นั่งน้ำตาไหลเองด้วยความกลัว ความกังวลไปในทุกเรื่องถ้ามันเกิดขึ้นจริง แต่เราเองก็ไม่อยากให้คนที่ยังอยู่ต้องกังวลเรา ซึ่งกลับกันเราที่กังวลคนที่ยังอยู่มากกว่านั้นมาก
ด้วยความที่วันนี้คิดเรื่องนี้เยอะมันยิ่งส่งผลให้วันนี้หดหู่ทั้งวันเลย พาลให้งานที่ตัวเองดูแลแย่ไปด้วยระยะเวลาที่บีบเข้ามา รวมถึงเวลาของเราที่จะอยู่ในทีมก็น้อยลง ทุกอย่างทำกราฟอารมณ์และผลลัพธ์ของงานชี้ลงดิ่งแบบตั้งฉาก
แต่เป็นความโชคดีของผมมั้งที่น้องที่ทำงานด้วยกันคอยถามตลอดว่าพี่โอเคไหม ถึงแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ที่ออฟฟิสด้วยกันก็ตามที อาจจะด้วยภาษาที่ใช้หรือเสียงที่โทรคุยกันเรื่องงานมันฟ้องออกมาว่าผมมีอะไรในใจมากกว่าความเฟลของงาน
แค่นี้ผมก็หยุดความดิ่งไม่ให้มันต่ำแบบ new low ไปกว่านี้ได้ และทุกครั้งที่ผ่านมาเมื่อมีเหตุการณ์ดิ่งๆ เกิดขึ้นจะมีคนมาคอยประกบไม่ว่าด้วยวิธีไหนก็ตามแทบทุกครั้ง ใจนึงก็ใจชื้นขึ้นแต่อีกใจก็เกรงใจไม่อยากให้เขาต้องลำบากกับเรา
ช่วงกลางคืนทักน้องสาวไป เราก็ไม่อยากบอกเรื่องที่เราคิดไปทั้งหมด เพราะทุกคนย่อมมีเรื่องที่ดีและไม่ดีเข้ามาในชีวิต เราก็ไม่อยากจะไปเพิ่มไอเทมความทุกข์ให้ เราก็เลยบอกไปแค่ว่าวันนี้เราไม่โอเคเลย ซึ่งถ้ามันไม่เหลืออดจริงๆ ผมคงไม่พูดออกมา
ณ เวลาที่พิมพ์อยู่นี้ซึ่งกำลังจะขมวดให้จบเรื่องนี้ให้ได้ “ความตาย” จะยังคงค้างอยู่ในความคิดผมจนถึงตอนนี้แบบเอาออกจากหัวไม่ได้ หัวผมยังปวดหน่วงอยู่ ซึ่งปวดมาเป็นอาทิตย์แล้วและต้องกินยาแก้ปวดเพื่อให้นอนได้ทุกคืน ผมก็ยังไม่ได้คำตอบหรือการเตรียมตัวว่าจะต้องทำยังไงถ้ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับผม
การปิดคอม หยิบยาพารามาทาน ย้ายตัวขึ้นไปที่เตียงพร้อมเปิดคลิป ASMR อาจจะเป็นคำตอบที่เหมาะที่สุดในการผ่านคืนนี้ไปได้อีกคืนของผม