เมื่อตอนที่ Project S The Series ตอนที่ชื่อว่า SPIKE! ฉายตอนปี 2017 ใน GMMTV และ LINE TV (ในเวลานั้น) ด้วยความที่ตัวเองชอบค่าย GDH อยู่แล้ว รวมไปถึงอยากรู้ว่าถ้าเอาเรื่องเกี่ยวกับกีฬามาทำเป็นซีรีส์ในสไตล์ของ GDH แล้วมันจะออกมาหน้าตาเป็นแบบไหน ก็เลยดูตั้งแต่ตอนแรกเรื่องแรกที่ฉาย
ผมขอสารภาพก่อนว่าไม่ได้ดูทั้ง 4 อัน โดยเฉพาะตอน Shoot! ที่เอาเพลง Aitakatta ซิงแรกของ BNK48 มาใช้ประกอบตอนนี้ จำเรื่องไม่ได้แต่จำ MV ได้แม่น ฮ่าๆ

กลับมาเข้าเรื่อง
ผมแอบเชื่อว่าทุกคนต้องเคยอยู่ในสภาพหรือสภาวะที่ต้องบอกกับคนอื่นว่าโอเค แต่จริงๆ แล้วเราโคตรไม่โอเคเลย ซึ่งการที่เราบอกออกไปอย่างนั้น ผมเข้าใจว่าเป็นการไม่อยากให้คนอื่นเป็นห่วง หรือเป็นการกระตุ้นให้ตัวเองสามารถเดินหน้าต่อไปได้ด้วยสภาพแบบนั้น หลายครั้งหลายทีมันก็คือการตื้อการยื้อให้เราอยากทำให้สำเร็จ บ้างก็ทำได้ บ้างก็ทำไม่ได้
เหมือนเราเป็นโรคดื้อที่เป็น Mr.OK กับ Everything ไม่ว่าจะดีจะร้าย ผมก็เป็น ยอมรับเลย แต่พอมันสะสมนานๆ เข้า มันระเบิดหน่ะสิ เรากลายเป็นคนร้องไห้ง่าย แล้วต้องไปแอบร้องไห้ด้วยนะ เหมือนกับที่เราบอกว่าเรายังโอเค แต่จริงๆ แล้วร้องแบบปล่อยโฮออกมาเลยตอนอยู่คนเดียว
ผมเคยปรึกษาเรื่องนี้กับน้องคนนึง น้องก็บอกว่า ถ้ามันไม่โอเคเราก็ควรบอกไปเลยว่าไม่โอเค อย่าไปเก็บไว้ ตอนนั้นเหมือนผมแย้งๆ ไปมั้งว่า ด้วยสถานการณ์เรากับคู่สนทนา เราไม่มีสิทธิ์บอกว่าเราไม่โอเค น้องก็บอกว่าเข้าใจ แต่น้องเขาแค่อยากให้เห็นว่า ถ้าเราเช็กตัวเองแล้วไม่โอเค อย่าฝืนบอกว่าโอเค เพราะมันยิ่งบั่นทอน
นับจากวันนั้นผมก็ค่อยๆ ปรับตัวเองด้วยการเริ่มเช็กตัวเองตลอดที่รู้สึกตัวว่าเรายังโอเคอยู่ไหม ถ้ายังโอเคก็ไปกันต่อ แต่ถ้าไม่โอเค เราต้องยอมรับว่ามันไม่โอเคแล้ว และเริ่มหาวิธีการที่จะแก้ปัญหาให้สภาพจิตใจกลับมาใกล้เคียงกับก่อนที่จะไม่โอเคให้ได้
สิ่งสำคัญสิ่งนึงสำหรับผมในการช่วยเยียวยาเรื่องนี้คือการมีคนที่สนิทมากพอที่เราจะได้พูดคุยแลกเปลี่ยนบางสิ่งบางอย่างจากตัวเรา ผมเชื่อแบบโคตรเชื่อเลยว่าสำหรับผมการแค่ได้พูดคุยหรือระบายสิ่งที่ตัวเองคับแค้นใจมันช่วยให้สภาพที่แย่กลับมาดีได้อย่างรวดเร็ว แบบไม่ต้องมีวิธีการหรือคำแนะนำใดๆ เลย
มันเลยกลายเป็นว่า เราต้องเริ่มยอมรับตัวเองกับสภาพเราในเวลานั้นว่าเราเป็นยังไงอยู่ เรายังใช้สติที่มีในการตรวจสอบตัวเองอยู่ตลอดเวลา
ใน Project S EP1 เบรกที่ 3 เจิ้น (แสดงโดย กุ๊กไก่ ภาวดี) และปืน (แสดงโดย โอบ โอบนิธิ) กำลังสนทนากัน โดยเจิ้นมาถามกับปืนว่าเขารู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ปืนยังโอเคไหม ปืนบอกออกไปว่าโอเค และเจิ้นก็ตอบกลับว่า โอเคอะไร มองตาก็รู้แล้วว่าไม่โอเค และพูดประโยคว่า “ไม่โอเคก็บอกไม่โอเค” ก่อนจะชวนไปนั่งรถเล่นกัน
พอผมได้ยินประโยคนี้ มันคือประโยคที่ผมได้ยินมาก่อนหน้านี้เป๊ะเลย ด้วยสถานการณ์ที่อาจจะต่างกัน แต่ด้วยความหมายคือมันเหมือนกัน คือเราควรโอเคมากๆ ที่เราจะบอกตัวเองว่าตอนนี้เราไม่โอเค
ถ้านึกย้อนกลับไปที่ผมพิมพ์มาทั้งหมด ใจความจริงๆ มันคือการยอมรับสภาพตัวเอง แต่ไม่ได้แปลว่ายอมแพ้นะ ยอมรับคือการเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วไม่ขัดขืนที่ให้มันเป็นแบบตรงข้าม ให้เราสามารถตั้งรับและรับมือกับมันได้
สารภาพเลยว่าผมเพิ่งมาปรับตัวให้อยู่ในสภาพนี้ได้ไม่นานนี้เลย ถามว่าทำได้แบบ 100% ไหม ก็ไม่ แต่มันอยู่ในโหมดที่ยอมรับกับตัวเองเร็วมากขึ้น ไม่ปล่อยให้ค้างนาน หรือไม่ยื้อไว้นาน มันทำให้เราสามารถปล่อยวาง ปลง ทุกข์น้อยลง หรืออาจจะหาวิธีลดความทุกข์ที่เกิดได้เร็วขึ้นกว่าก่อน
ผมแค่รู้สึกว่าอยากให้คนที่ผมรู้จักหรือคนที่ได้อ่านบล็อกนี้ได้เช็กสภาพจิตใจตัวเองอยู่บ่อยๆ อยู่เรื่อยๆ ไม่อยากให้มันเกิดเหตุการณ์แบบที่ผมเล่าในช่วงแรก หรือเป็นก็ให้มีสติกลับมาให้เร็วที่สุด
มีอยู่ช่วงนึงผมไปจับมือ BNK48 แล้วชอบไปบอกน้องๆ เมมเบอร์ว่า ฟังหัวใจตัวเองอยู่บ่อยๆ นะ แต่ความแย่คือตัวเองในเวลานั้นตัวเองทำไม่ได้เลยแต่ดันไปบอกน้อง บัดซบมากตัวฉัน 555 ความตั้งใจของเราคือแค่ตอนนี้ถ้าเขาเริ่มไม่แน่ใจว่าอารมณ์เป็นแบบไหน อยากให้เขาได้เช็กสภาพอยู่บ่อยๆ เรื่อยๆ ครับ หรือคนที่เราเชื่อใจได้แบบเยอะหน่อยในการคุย (ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าเขามีบริการนักจิตตามที่เขาเคยบอกไหมนะ)
เพราะผมไม่อยากให้ระเบิดเวลามันทำงาน มันควรจะเป็นแค่เม็ดกระเทียมหรือประทัดนัดเดียวดังเป๊าะแล้วจบไป ไม่ควรมีใครมาต้องเจ็บนอกจากตัวเราเองอีกครับ