เกริ่นนำกันก่อนนะครับ ด้วยนิสัยที่ผมไม่ใช่หนอนหนังสือ ถึงขั้นไม่ชอบอ่านหนังสือเลยไม่ว่าจะเป็นหนังสืออะไรก็ตามแม้แต่การ์ตูน แต่ไม่ใช่ว่าไม่พยายามนะครับ ตอนเรียน ป.ตรีเป็นครั้งแรกที่ผมหัดอ่านหนังสือการ์ตูน ผลที่ได้คือ จากทั้งหมดที่ผมเช่ามา ผมอ่านได้แค่ 2 เรื่อง ViVa Calcio, คินดะอิจิ ส่วนพอมาทำงานแล้ว ผมอ่านเพิ่มได้อีกเรื่องคือ คุโรมาตี้ โรงเรียนคนบวม (เรื่องนี้เสื่อมไปหน่อย แต่ชอบมาก) สรุปทั้งชีวิตผมคืออ่านได้แค่ 3 เรื่อง ส่วนหนังสืออ่านเล่น ผมอ่านได้แค่บางเล่มจริงๆ
…นิสัยนี้แก้ยากจนถึงทุกวันนี้
จนมีครั้งนึงบน Twitter ทราบมาว่า อาจารย์ @Pariwat, @mimee และ @tuirung 3 ประสานที่ทำหนังสือ การตลาด 2.0 ที่ผมเคยแนะนำใน blog ของผม กำลังตั้งแกงค์ 3×3 กันอยู่ ผมก็งงว่าคืออะไร มารู้ทีหลังว่าจะสั่ง Kindle รุ่นล่าสุดมาส่งที่ไทยทั้ง 3 คน ตอนนั้นผมเริ่มสนใจ ก็เพราะความบ้า Gadget ของผมเป็นเหตุผล และ ณ เวลานั้นผมได้เคยได้สัมผัส Kindle มาแล้วจากพี่ต้น @kktp ว่ามันเนียนขนาดไหน แต่ยังไม่จุดประกายความอยากได้ของผม แต่ผมก็เอากลับมานอนคิดนะว่าจะยังไงดีกับตัวนี้ เพราะขนาด iPad ผมยังขายทิ้งมาแล้วเลยหลังจากใช้อยู่ 2 วัน
จากจุดนั้น มีงาน Meeting #ittwt โดย Aspirer ที่ทำงานของหยก @yokekung ทั้ง 4 คนได้เจอกันพอดี ผมเลยได้แนะนำพี่ต้นให้รู้จักกับแกงค์ 3×3 โดยที่ผมไปขอยืม Kindle พี่ต้นมาให้ทั้ง 3 ท่านดู ปรากฏว่าอึ้งในความเนียนกันหมด
สารภาพว่าตอนนั้น ผมเองก็เนียนและหน้ามืดไปแล้วจากคารม อ.@Pariwat และทำให้ผมตัดสินใจที่จะขอแจมด้วย แต่ผมมี Objective ของผมเองคือ จะใช้ Gadget ตัวนี้แก้นิสัย(สันดาน)ของตัวเองให้อ่านหนังสือมากขึ้น เพื่อจะได้มีประโยชน์ต่อตัวเองในอนาคต
จากวันนั้นถึงวันนี้ก็ประมาณเดือนนึงที่ผมได้ใช้งาน Kindle 3 ผมขอแชร์ประสบการณ์จากการใช้งานของผมจนถึงวันนี้นะครับ
Kindle is mine
วันแรกที่พี่ @mimee นัดไปรับผ่านทาง Twitter ผมก็โหลดไฟล์ pdf ใส่ Thumbdrive ไปเตรียมลองลงอ่านประมาณ 10 เล่ม เมื่อเปิดมาจากกล่องครั้งแรก ผมพยายามแกะพลาสติกที่ปิดหน้าจอออก เพราะสิ่งที่ผมเห็นคือ เป็นวิธีการเสียบปลั๊กเข้าคอม พอลองมากดเปิดเครื่องดู กลายเป็นว่า นี่คือหน้าจอแรกที่เห็นนั่นคือวิธีการเสียบ แล้วเปลี่ยนเป็นหนัาจอการใช้งานปกติ ผมอึ้งไปเลย ฮ่าๆ
จากนั้นได้ลอง Load ไฟล์ PDF แล้วเปิดอ่านดู ปรากฏว่า การแสดงผลเรื่องรูปภาพทำได้ค่อนข้างดี แต่ถ้าเป็นเนื้อหา text ต่างๆ จะแสดงผลได้เล็กมากและอ่านแทบไม่รู้เรื่องเลย แต่ถ้าเป็นไฟล์ e-book ของ amazon ที่ได้ลองอ่านของพี่ @mimee แล้ว อ่านได้สบายตามากๆครับ
หลังจากนั้นไม่นาน แกงค์ 4×4 ก็ได้พี่ @tuirung รับอาสาสั่งซองมาจาก ebay อีกที อันละ 500 บาท ถ้าใช้ซองของ Amazon ก็ล่อไปเป็นพันซึ่งผมถือว่าเกินความจำเป็นสำหรับผม พอใส่แล้วหล่อเลย ^_^
หลังจากได้ทุกอย่างผมก็ลองสั่งหนังสือดูทันที ซึ่งขอลอกที่พี่ @mimee ซื้อเล่มนี้…
…ขอสารภาพว่าเล่มนี้ยังอ่านไม่จบครับ ฮ่าๆ แต่กำลังลุยไปเรื่อยๆครับ เพราะเนื้อหามันเหมาะกับการทำงานจริงๆของผม ที่ต้องเข้าไปฟัดกับฝรั่ง หรือไปสอนคนจีนและอาบังเวลา Training ใครสนใจลองหามาอ่านกันดูครับ
ปกติเวลาที่ผมใช้อ่านคือ เวลากลับจาก Office บนรถ BTS หรือ MRT หรือเวลาไปหาแฟนผม @pinnynoy
ความรู้สึกกับ ที่สัมผัสได้ผ่าน Kindle คือ ตัวหนังสือครับ ยิ่งมีแสงยิ่งอ่านชัดขึ้นจริงๆ สีของ E-Ink ที่พ่นใส่หน้าจอ ทำให้ผมอ่านแล้วสบายตา ไม่ปวดตา และไม่ปวดแขนเหมือน iPad ที่อ่านไปได้กล้ามไป
นี่อีกเล่มนึงครับ อ่าน Sample มาแล้วชอบมากๆ เลยซื้อเลย และตั้งแต่ซื้อก็ยังไม่ได้อ่านต่ออีกเลย ฮ่าๆ
ราคาหนังสือ
หนังสือที่ผมซื้ออยู่ที่ประมาณ 300 กว่าบาท ($11.99) ต่อเล่ม ซึ่งถ้าเทียบกับหนังสือหรือนิยายที่ขายตาม Asia Book หรือ Kinokuniya ที่เป็นเล่มๆแล้ว ราคาก็ใกล้เคียงกัน หรือบางเล่ม E-Book แพงกว่าอีก แต่ว่าสิ่งที่ต่างออกไปของ E-book ก็จะมี Function สำหรับบางเล่มคืออ่านให้เราฟัง สำหรับคนที่ฟังแล้วคล่องหู แต่ผมขออ่านดีกว่้าครับ (ลำพังอ่านเฉยๆผมยังต้องเปิด Dict ไปด้วยเลย) ถ้าให้ผมแนะนำ หนังสืออ่านเล่นทั้งหลาย น่าซื้อในรูปแบบ Digital แบบนี้มากกว่าครับ สะดวกกว่ากันเยอะ แต่ถ้าหนังสือเฉพาะทางจริงๆ เช่นตำราทางการแพทย์ ซื้อเป็นเล่มดีกว่าครับ
อ่อ พูดถึงเปิด Dict ใน Kindle มี Dict อังกฤษ-อังกฤษ ช่วยแปลด้วยแค่เลื่อน Cursor ไปที่หน้าคำนั้น ก็จะมีคำแปลขึ้นมาเลย ซึ่งช่วยผมได้เยอะมากๆ และที่รู้ๆมาเพิ่มเติม มี Dict อังกฤษ-ไทย แล้วด้วยนะครับแต่ว่าผมยังไม่ได้ลอง…
ราคาเครื่อง
ราคาที่ตั้งอยู่ที่ amazon จะอยู่ที่ $149 ซึ่งยังไม่รวม Shipping ครับ พอมาถึงที่ไทยจะโดน Tax โดน Shipping ซึ่งรวมๆแล้วจะตกอยู่ประมาณ 6000 บาทได้ ในเมืองไทยก็มีเวปขายเหมือนกัน แต่เค้าขายที่ 7000 บาทต่อเครื่องเลย
ดังนั้นแล้วหากรวมกลุ่มกันซื้อ ประมาณ 3-5 คน จะทำให้ค่า shipping ถูกลงเยอะครับ ที่ผมได้มาก็ประมาณ 5000 ปลายๆครับ
บทส่งท้าย
ถามว่า Kindle ตัวนี้ช่วยให้ผมอ่านเยอะขึ้นไหม ตอบว่าใช่ครับ จะบอกว่าเพราะว่าซื้อมาแพงก็ต้องใช้ให้คุ้มก็คงจะไม่แปลก ฮ่าๆ แต่มันช่วยผมได้จริงๆนะครับ ผมรักการอ่านขึ้น มันทำให้ผมทยอยอ่านหนังสือที่ผมดองเค็มไว้ตั้งนานได้เกือบหมดแล้ว โดยสลับกับอ่านบน Kindle ด้วย
…Kindle คือ 1 Tool ที่เพิ่มแรงจูงใจในการอ่าน ช่วยให้ผมอ่านอะไรต่างๆได้เยอะขึ้นและมีสมาธิขึ้น (Ludic Reading)
ดังนั้นการจะเป็นคนรักการอ่าน ที่จริงแล้วไม่จำเป็นจะต้องมี Tool หรืออะไร มันอยู่ที่นี่ครับ (มือชี้ไปที่นม) อยู่ที่ “ใจ” ครับ ทุกๆอย่างไม่ใช่แค่เรื่องการอ่าน ถ้าใจอยากจะทำ ให้ลองทำไป อย่าไปกลัวผลลัพธ์ อย่างน้้อยเราได้ทำ
…บางทีแล้ว มันอาจจะเป็นสิ่งที่คุณชอบ,หลงรัก ที่คุณหามันมาตั้งนานแต่ไม่เจอแล้วก็ได้
ขอแอบ PR นิดนึง ตอนนี้ใน Twitter มีชุมนุมคนเล็กๆที่ใช้ Kindle ซึ่งอ. @Pariwat เป็น founder ผู้ใดสนใจอยากลองตาม/ถามคำถาม/แลกเปลี่ยนความรู้ รบกวนตามที่ tag #TKUG (Thai Kindle User Group) นะครับ