ถ้าให้ผมเปรียบเทียบเสียงคนรอบข้าง ผมคงนึกถึงกับลำโพง
ไม่ใช่ 2.1, 5.1 หรือ 7.1 ที่เป็นแบบโฮมเตี่ยเธอใช้ๆ กัน
แต่มันแค่ลำโพงแบบ Surround รอบตัวไปเลย
เพราะข้อความมันพุ่งมาทุกทิศทุกทาง จะวิ่งมาหาตัวเราแบบจังๆ หรือแบบเฉียดๆ หรือไม่เกี่ยวกันกับเราเลย
มันขึ้นอยู่สติและใบหู(ไม่รู้เป็นอะไร)ว่าเราจะเลือกอะไรมาฟัง
ข้อความทั้งหมดนั้นมีทั้งดีและแย่ ก็เหมือนกับเราไม่สามารถควบคุมเสียงทุ้มเสียงแหลมได้
แต่เราเลือกได้ว่าจะเป็นคนถือ remote ควบคุมเสียงด้วยสติ
แสดงว่าเราเพิ่มลดเสียงได้ด้วยตัวเอง รวมถึงปิดเสียงด้วยการกดหมูเต๊ะ (Mu-Te)
ในฐานะเราเองเป็นคนถือรีโมทที่สามารถเพิ่มลดเสียงได้ ใช้มันให้เป็นประโยชน์ดีกว่า
การเพิ่มลดเสียงของเรา ขึ้นอยู่กับที่สถานการณ์หรือสิ่งที่เราอยากจะฟัง
เราจะเปิดดังมากเมื่อเราต้องการให้คนอยู่ฝั่งเดียวกับเรา หรือเราอยากได้ยินเสียงสะท้อนที่เราเยอะๆ
อันแรกเห็นอยู่บ่อยๆ สำหรับวิถีของเศษเล็บ(Celeb) หรือไมโครเศษเล็บ(Micro Celeb)บน Twitter
อันหลังเรียกว่าเปิดใจ ขึ้นอยู่ขนาดของปากทางของหูและใจของคนรับฟังจะกว้างพอที่จะรับ หรือจะเปิดช่องมันแคบๆก็พอ เพราะจะฟังแต่เรื่องที่ดีดีของตัวเอง
ส่วนถ้าเราปิดเสียงแบบไม่ได้ยินอะไรไปเลย แบบไอโด๊นแคร์เอนี่มีเดีย กูไม่แคร์สื่อ กูไม่สนเสียงใครๆ
ผมบอกได้แค่ว่า …ก็เรื่องของมึงครับ (ขอโทษที่ละเอียดดูด…หยาบคายเล็กน้อย)
สำหรับผม ผมขอเลือกเพิ่มลดตามสถานการณ์ แต่ไม่ขอปิดเสียงไปเลยนะ
การรับฟังบ้าง มันคือสิ่งการที่เราร้องเพลงใส่ไมโครโฟน แล้วเราอยากได้ยินเสียงของตัวเองบ้างผ่านลำโพง ว่าเราร้องดีหรือห่วยขั้นเทพ
แต่ถ้าเราเลือกเสียบหูฟังแทนการใช้ลำโพง ขอฟังเสียงแต่ของตัวเอง มันก็เหมือนคุณอยู่ในโลกของตัวเอง ร้องเอง ฟังเองวนกันเป็น infinite loop
ผมว่ามันบ๊องนะ ฮ่าๆ
จะให้ผมจะบังคับให้ใครเพิ่ม-ลด, เปิด-ปิดเสียงเอง คงไปก้าวก่ายเกินไป
แต่วิจารณญาณของแต่ละคนดีกว่าครับ มันห้ามกันไม่ได้
แต่สิ่งที่ห้ามปิดเลย คือใจครับ เปิดไว้ให้ตลอด รับฟังความเห็นของคนอื่นบ้าง
ไม่งั้นแล้ว เค้าจะบัญญัติคำว่า Feedback ไว้ทำแมวทำไมครับ