มาถึงตอนสุดท้ายหล่ะครับ (แล้วมันก็อู้จนข้ามมาอีกปีจนได้) วันสุดท้ายผมกลับมาที่โตเกียวอีกครั้ง เพื่อมาพัก 1 คืนก่อนจะบินกลับเมืองบางกอก โดยตอนแรกนัดกับ @redlovetree และ @besutoอย่างดีว่าจะเจอกันก่อนกลับ แต่อย่างที่ผมบอกไปเมื่อตอนที่แล้ว ว่าผมตกรถไฟชั่วโมงนึง เลยทำให้ไม่ได้เจอกับเบสเลย เพราะเบสต้องไปทำงานในตอนเย็นต่อยาวเลย อดจ้อย…
ด้วยสาเหตุว่าเป็นวันสุดท้าย เลยอยากเซฟค่าห้องพัก เลยหาห้องถูกพักและสุดท้ายได้ที่ Khaosan Samurai และอย่างที่ผมบอกไปว่าอย่าไปพัก เพราะมันห่วยบรมห่วยจริงๆ ไม่ว่าจะความไกลของที่พักจากรถไฟใต้ดิน, พนักงานห่วยๆ, ตัวห้องพักและความน่ากลัวของห้อง ทำให้ผมบอกได้เต็มปากว่า ถ้าจะไป ตัดตัวเลือกที่นี่ไปไกลๆ เลย
ผมจัดการวางกระเป๋าแล้วดีดตัวออกไปหาแคทโตะเลยทันที ที่รปปงหงิ (Roppongi)
รปปงหงิ ถือเป็นย่านไฮโซไซตี้ อารมณ์ประมาณสยามแพแรก้อนหรืออโศกในบางกอก ซึ่งคนที่มีบ้านอยู่แถวๆ นี้ต้องรวยจริงๆ
และที่นี่คือที่ตั้งของสถานีโทรทัศน์ TV Asahi ด้วย …ใครเคยดูโกโกริโกะ เกมส์กึ๋ย นี่แหละครับ ที่นี่แหละที่ถ่ายทำ แถมจากมุมนี้ สามารถมองเห็น Tokyo Tower เปิดไฟได้สวยงาม
และช่วงที่ผมไป เริ่มมีการตกแต่งไฟคริสต์มาสบ้างแล้ว (มาดูทวีตของแคททีหลัง ไฟสวยกว่าเดิมมากหลังจากผมกลับมาไทยแล้ว -_-“)
จากนั้นก็หาข้าวกินที่รปปงหงิฮิลล์เลย มื้อนี้กินคัตสึด้ง ราคาก็ไม่ถือว่าแพงมากเมื่อเทียบกับความไฮโซนะครับ และถือโอกาสเลี้ยงขอบคุณแคทโตะด้วยเลย ^_^ กินเสร็จเรียบร้อยก็ร่ำลากันเพราะว่าผมต้องกลับกรุงเทพแล้ว และแคทไม่ได้ไปส่ง :'(
วาปขึ้นมาตอนเช้าในวันสุดท้าย หายนะบังเกิด เพราะฝนตกหนักพอสมควรทั่วโตเกียวเลย ทำให้แผนที่จะไปกินซ่าต้องยกเลิกไป คงเหลือไว้แค่โตเกียวทาวเวอร์แบบวัดใจ และไปเดินอากิฮาบาร่าแบบเน้นๆ
จากที่พัก ผมจัดการ Check out แล้วฝากกระเป๋าไว้ จากนั้นมุ่งตรงไปที่โตเกียวทาวเวอร์ทันที ด้วยสภาพเละเทะแม้กางร่มก็ตาม
ลงรถไฟที่สถานี Akabanebashi เดินไม่ไกลนักก็มาถึง Tokyo Tower ด้วยสภาพเละกว่าเดิมมาก เพราะฝนยิ่งแรงขึ้นเรื่อยๆ เลยเก็บภาพได้ไม่กี่รูป (กลัวโทรศัพท์+กล้องเจ๊ง)
โตเกียวทาวเวอร์นั้นเป็นที่ที่ไว้รับส่งสัญญาณสื่อสารในญี่ปุ่นและยังเป็นหอสังเกตุการณ์อีกด้วย และในปี 2555 นี้จะมีอาคารรับส่งสัญญาณอีกแห่งเปิดตัวขึ้น ชื่อว่า Tokyo Sky Tower อ่านได้จาก Japaijapan ครับ
มี Dell ของพี่นุ้ย @Anothai2010 ด้วยแฮ่ะ
อยู่แถวนั้นได้ไม่นาน ยังพอมีเวลาอีกพัก เลยไปเดินอากิฮาบาร่าซะเลย ในสภาพฝนก็ยังตกเละเทะเหมือนเดิม แต่ผมชอบที่นี่นะ เพราะมันรวมทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้า,เครื่องเล่นเกม, Model Figure, และศูนย์รวมหนัง… ในที่เดียวเลย และไม่ต้องห่วงครับ ผมเข้าไปดูหมดหล่ะ ฮ่าๆ แต่ไม่ถ่ายมาให้ดูหรอกนะอย่างหลัง แนะนำให้ไปชมกันเอาเอง อิอิ
อันที่จริงแล้วร้านพวกนี้จะเป็นแบบว่า 1 stop service คือร้านเดียวมีมันทุกอย่าง แบ่งเป็นชั้นๆ เลยว่า ชั้น 1 ขายเครื่องเกม ชั้น 2-3 ขาย Model ส่วนชั้นพวกสูงๆ 6-7-8 ก็จะขายหนังและขายอุปกรณ์สำหรับอายุเกิน 18 ขึ้นไป ประมาณนี้
*ใครชอบพวกกันดั้ม มดแดง (ไม่มดดำ) รับประกันว่าเข้ามาที่อากิที่เดียวหมดตูดครับ เพราะมันมีเยอะมากและน่าขนกลับเมืองไทยที่สุดจริงๆ ที่สำคัญ ได้ของแท้แน่นอน
ผมเดินเข้าเดินออกร้านในอากิอยู่ประมาณ 2 ชั่วโมงได้ และมนต์สะกดเพลงของ AKB48 ที่เปิดอัดใส่รูหูทุกร้าน ก็ถึงเวลาต้องกลับไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ เพื่อมาขึ้นรถไฟไปนาริตะเพื่อกลับบางกอก โดยสภาพผมไม่ต่างกับลูกหมีตกน้ำ เพราะเดินลากกระเป๋าพร้อมเป้ และกางร่ม น่าสมเพศที่สุด…
ผมนั่งรถใต้ดินมายังสถานี Tokyo เพื่อนั่งรถไฟสายด่วนพิเศษไปยังนาริตะ ชื่อว่า Narita Express หรือ N’Ex ซึ่งโดยปกติแล้ว การโดยสารต่อเที่ยว เสียค่าโดยสารเที่ยวละเกือบ 3000yen แต่ด้วยพลังของบัตร JR Pass ทำให้ผมสามารถนั่งรถไฟ Narita Express แบบฟรีๆ ไม่คิดสตางค์ ^_^ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงก็ถึงนาริตะครับ
ที่นาริตะนั้นผมมาจัดแจกทิ้งของที่ไม่อยากเอากลับอย่างผ้าเช็ดตัวที่ลุยกันมา 10 วัน, รองเท้าแตะที่ก่ะเอามาทิ้งอยู่แล้ว เป็นต้น แล้วก็ Check in กระเป๋า เพื่อไปยัง Gate
และที่สำคัญ ยังมีภาระกิจฟิชโช่ คือไปขนโตเกียวบานาน่าและ Royce กลับมาตุภูมิ ซึ่งต้องบอกก่อนว่าราคานั้นจะถูกกว่าที่ขายในโตเกียว แต่ว่าจะมีแค่รส Original อย่างเดียวนะครับ ถ้าใครอยากได้แบบรสชอคโกแลตต้องซื้อมาจากในเมืองเท่านั้นครับ (ตามสถานีรถไฟไต้ดินใหญ่ๆ มีขาย) ส่วน Royce จะมีขายที่ Terminal 2 Gate 35 ที่เดียวเท่านั้นครับ ใครจะซื้อก็เผื่อๆเวลาด้วยนะครับ
แล้วก็ถึงเวลากลับไทยหล่ะครับ เครื่องออกตอน 18:05 สภาพฟ้าฝนที่ยังคงตกอยู่ เหมือนเมืองร้องไห้สั่งลาผม (ชักจะเว่อร์หล่ะ)
ทิ้งท้าย
ก่อนไปผมคิดว่าจะได้ไปเรียนรู้สิ่งที่เค้าเป็นอยู่ ตอบว่าได้ไหม ได้ครับ แต่ไม่นึกว่ามันจะเยอะขนาดนี้…
ความเป็นระเบียบในความเร่งรีบ คือต่อให้รีบยังไงก็ยังเป็นระเบียบและปลอดภัย หรือวัฒนธรรมเก่าแก่ที่ยังถูกแฝงไว้ในความทันสมัยของเทคโนโลยีซึ่งก็รู้กันดีว่าญี่ปุ่นเค้าพัฒนาไปขนาดไหนแล้ว (คนใส่กิโมโนไปเดินเที่ยว ผมก็ยังพบเห็นได้บ้าง)
และการใช้ชีวิตแบบต่างคนต่างอยู่มีอย่างนั้นก็จริง แต่ผมก็ยังเห็นความมีน้ำใจและรอยยิ้มของคนญี่ปุ่น รวมไปถึงความห่วงใยในประเทศไทยด้วยในภาวะน้ำท่วม
…ผมหลงรักเมืองนี้เข้าอย่างจังแล้วครับ สัญญาว่าผมจะกลับไปเยือนอีกหลายๆครั้งแน่นอน
ขอบคุณ…
ขอบคุณแคท, เบส ที่ให้ความช่วยเหลือในญี่ปุ่น แคทช่วยเหลือผมได้เยอะมากจริงๆจ๊ะ และทำให้ได้รู้จักเบสด้วย
ขอบคุณตุ้ยสำหรับข้าวเคอเรไรซ์ที่คานาซาว่า อร่อยโคตรว่ะ พูดแล้วก็อยากกินอีก
ขอบคุณสำหรับการติดตาม super series 7 ตอนไปเที่ยวญี่ปุ่นครับ…
thanks krab for nice review
ยินดีครับ 😀