เรามาราธอนแล้วนะ…

ย้อนกลับไปเมื่อปีที่แล้ว ผมเขียนเรื่องการวิ่งของผมไว้ที่นี่ บันทึก 4 งานวิ่งในปี 2013 พร้อม mission สู่ 42.195 ตอนนั้นผมเริ่มวิ่งบ้างแล้วแม้จะไม่ได้วิ่งแบบทุกๆ วัน จนทำให้ในโพสต์นั้นผมตั้ง mission สำหรับปี 2014 เอาไว้ว่า ผมจะวิ่ง full marathon ในระยะ 42.195 ให้ได้ ซึ่งตอนนี้ผมก็ผ่าน moment นั้นมาแล้ว ก็อยากจะขอเล่าเสียหน่อยนะครับ

ออกตัวก่อนว่าผมไม่ค่อยชอบการวางแผนอะไรล่วงหน้าเท่าไหร่นักสำหรับชีวิต โดยเฉพาะการตั้ง Target เกร๋ๆ มาแชร์บนอินเทอร์เน็ตว่ากูจะทำนั่นนี่ 10 ข้อ ซึ่งผมก็กบฎตัวเองไปเรียบร้อยด้วยโพสต์ของผมเองกับการตั้งเป้าสั้นๆ ไว้ และผมก็ทำไม่ได้ทุกข้อเลย 555

มาดูกันกับตอนเขียนเมื่อปีที่แล้ว

  • ขี่จักรยานอย่างน้อยเดือนละ 2-3 ครั้ง (หน้าฝนหยุดเหมือนเดิม) — ปัจจุบัน ขายจักรยาน fixed gear ทิ้งไปแล้ว
  • จะวิ่งเฉลี่ยๆ เดือนละ 1-2 งาน รวมๆ แล้วอยากให้ได้ไม่ต่ำกว่า 15 งาน —สมัครไป 14 งาน วิ่งได้จริงๆ แค่ 12 เอง
  • ลง Full Marathon งาน Bangkok Marathon 2014 — วิ่งที่นี่แค่ Half

…เป็นไงครับ ไม่ได้สักข้อ 0 เต็ม 3

ด้วยความที่อยากจะเป็นนิชคุณ เอ้ย อยากวิ่ง Full Marathon ให้ได้ในปี 2014 ผมเลยเริ่มๆ เปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองให้หันมาวิ่งเพิ่มมากขึ้น ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะใช้เวลาหลังเลิกงาน เพราะที่ทำงานเก่าผมอยู่ตรงข้ามกับสวนลุมเลย วันไหนว่างผมก็จะออกไปวิ่ง จะวิ่งอยู่ประมาณ 1-2 รอบสวนลุม (2.5 – 5 กิโลเมตร) เป็นส่วนใหญ่ ถ้าวันเสาร์อาทิตย์ตื่นเช้าหน่อยก็ขับรถไปวิ่งที่สวนจตุจักรตอนตี 4 ก็ได้มาครั้งละ 10 กิโลบ้าง รวมแล้วเดือนๆ นึงผมก็วิ่งประมาณ 40-50 กิโลเมตร

เมื่อเทียบกับเป้าหมายของผมคือ 42.195 มันน้อยจริงๆ

กลางปี ผมเริ่มมองหางานมาราธอนที่จะไปทำให้ที่ตั้งไว้เป็นจริง ตอนแรกผมตั้งใจจะไปวิ่งกรุงเทพมาราธอนนะครับ แต่สุดท้ายดูแล้วคงจะไม่รอด เนื่องจากช่วงนั้นจะเป็นช่วงที่ผมกำลังตัดสินใจลาออกจากงานประจำ (ปัจจุบันมาดูแลส่วน content และรับเขียนงาน advertorial) เลยต้องหางานที่มันขยับออกไปจากนั้น แล้วผมก็เจอเชียงใหม่มาราธอน ซึ่งน่าจะเป็นงานสุดท้ายของปีนี้ที่เป็นระยะมาราธอน ผมไม่รอช้าที่จะลงสมัครเลย แถมงานนี้มีพิเศษคือ มีการเปิดให้ลงเป็นมาราธอนหน้าใหม่ ซึ่งแน่นอนว่า ใบหน้าละอ่อนต่อนยอนอย่างผมก็ลงสิครับ

มาราธอนหน้าใหม่คือคนที่ไม่เคยวิ่งมาราธอนมาก่อน มาเปิดซิงที่นี่เป็นที่แรก ถ้าโดนจับได้ว่าแอบไปวิ่งมาก่อน ทางผู้จัดเขาจะประนามขึ้นหน้าเว็บไซต์เบยนะครับ

IMG_1582

ผมจัดการลงและจองตั๋วเครื่องบินไปเสร็จสรรพ จะขาดก็แต่เรื่องที่พัก ซึ่งก็ได้สอง บรรยงก์ และยุ้ย กานดา ช่วยเรื่องที่พักให้ด้วยราคาที่มนุษย์อย่างผมคงต้องจ่ายแพงกว่านี้

ก่อนมาราธอน 1 เดือน

เป็นช่วงที่ผมจัดการปัญหาชีวิตไปได้บ้างแล้ว แต่มรสุมงานที่ออกมารับทำเองกลับหนักกว่าเดิมเสียอีก ต้องวิ่งไปนั่นนี่คนเดียวจนหัวหมุน สิ่งที่ทำได้ก็คือการบังคับตัวเองลงงานวิ่ง ซึ่งเดือน พฤศจิกายนกับธันวาคม ผมลงไปประมาณ 3-4 งานเห็นจะได้ ในนั้นมีกรุงเทพมาราธอนที่ระยะฮาล์ฟด้วย รวมทั้งผมเริ่มวิ่ง City Run ออกจากคอนโดตัวเองไปลานพระรูปแล้วกลับมา รวมๆ ครั้งนึงก็ 14-16 กิโลเมตร ซึ่งจุดนี้ช่วยผมได้พอสมควรก่อนจะไปวิ่ง

และอาทิตย์ก่อนไปวิ่ง ผมอัดเต็มที่ที่ระยะฮาล์ฟมาราธอนที่สวนจตุจักร และผลที่ได้คือ เจ็บขาครับ เดินกระเผลกไปหลายวันแต่ก็มาอยู่ในสภาพปกติใน 2 วันสุดท้าย

*อ้อ ผมบอกเลยว่าผมไม่ชอบการซ้อมที่เป็นตารางเลย มันคือการบังคับระยะ ผมชอบบังคับใจให้ไปวิ่งมากกว่า เบื่ออะไรที่มันต้องลงลอคเป็นตารางมากที่สุดในชีวิต (ตารางเรียนผมยังเกลียด เกลียดมาก อ๊ากกกกก)

ก่อนไปผมเชคอากาศก็พบว่ามันหนาวพอสมควร ดังนั้นผมเลยตัดสินใจติดเสื้อ heattech ของ uniqlo ไปด้วย 2 ตัว เผื่อเอาไว้ว่าอาจจะต้องใส่เป็นเสื้อด้านในแล้วเอาเสื้อวิ่งทับอีกรอบ

และแล้วก็มาราธอน… เป้าหมาย 5:30 ชม.

วันที่ผมรอคอยมาทั้งหมด สิ่งที่วิ่งๆ ไปฝึกขาตัวเองไปเรื่อยแม้จะไม่มาก แต่ก็ถือว่าผมพอจะวิ่งได้ประมาณหนึ่ง เพราะผมไม่ได้กะวิ่งเอาถ้วย วิ่งเอากล้าม วิ่งเอาเวลามาอวดชาวบ้าน ผมวิ่งเพื่อจะพิสูจน์ตัวเองในปีนี้ว่าอย่างน้อยๆ ผมก็ทำได้ เท่านั้นพอแล้ว

ปล่อยตัวตอนตี 4 ผมจำได้เลยว่าผมนอนไม่หลับ ไม่ใช่ตื่นเต้น เพราะเล่นเกม Simcity ติดลม 555 สรุปได้นอน 2 ชั่วโมงแล้วตื่นไปเส้น Start เลย และตัดสินใจถูกมากที่หยิบเอา heattech มา เพราะใส่แล้วไม่หนาวเลย ตัวอุ่นมากๆ

IMG_1379IMG_1380

เมื่อไปเจอจุด start ก็เจอคนกลุ่มใหญ่ถือลูกโป่ง Pacer จาก Group  42.195 K Club…เราจะไปมาราธอนด้วยกัน ตอนนั้นผมเห็นพี่ป๊อกไกลๆ แล้วแต่พี่เขาดูจะวุ่นกับการถ่ายรูป (พี่แกคือเซเลปแห่งการวิ่งมาราธอนเลยนะ ข้อดีคือไม่ต้องทวีตแล้วถามว่าใช้ Tag อะไร)

มาราธอนที่นี้มีคนลงไม่เยอะมาก ประมาณ 800 กว่าคนเอง ถามว่าดีไหม ดีว่ะ ผมชอบ คนน้อยๆ ไม่ต้องไปแย่งกันวิ่งเหมือนงานอื่นๆ (หรือนี่มันเป็นข้อดีของการวิ่งยาว?) ที่สำคัญ คนไทยมีไม่ถึงครึ่งครับ เป็นคนจีนกับญี่ปุ่นเสียเป็นส่วนใหญ่

สำหรับผมในเวลานั้น ผมมองแค่ว่าลูกโป่งสีเขียวผมจะต้องหนีไม่ให้เขาแซง และไม่รู้ผลเป็นยังไงแล้ว รู้แต่ว่า ออกวิ่งไปให้รอด!

…ปล่อยตัว

10 กิโลเมตรแรก รอบคูเมืองเชียงใหม่ (ซึ่งโคตรกว้าง) ผมวิ่งด้วยความเร็วปกติของผม รักษาความเร็วแบบปกติไป ซึ่งผมก็วิ่งประมาณ 1 ชั่วโมงอยู่แล้ว

5 กิโลเมตรถัดมา เริ่มรู้สึกเจ็บที่นิ้วเท้า เพราะเริ่มมีการเสียดสีกันหนักขึ้น จนผมต้องหยุดถอดรองเท้าดูอาการเลย แต่ก็ยังโอเควิ่งได้อยู่ไม่แสบนัก ตอนนั้นยังไม่ค่อยหิว เลยไม่ได้หยิบกล้วยตากที่พกมา 3 ซอง

สู่กิโลเมตรที่ 20 แรงเริ่มหมด ความเร็วในการวิ่งเริ่มลดลง เท้าเริ่มมีอาการเจ็บขึ้นแต่ก็ยังวิ่งได้อยู่ มีวิ่งไปเข้าห้องน้ำแถวๆ นี้ (21 โลยังมืดอยู่)

IMG_1381

จุดแตกหัก กิโลเมตรที่ 25 ในขณะที่ผมวิ่งอยู่ ผมรู้สึกได้เลยครับว่าตอนผมลงเท้ามันมีเสียง “แปะ” ลั่นที่เท้าซ้าย ผมคิดในใจแล้วนึกออกทันทีว่า คงจะเป็นถุงน้ำในที่นิ้วแตกสินะ (เชร้ดดด) เลยปล่อยเลยตามเลย เพราะวิ่งแล้วยังไม่รู้สึกแสบ แต่จำไว้เลยครับว่ากลับมากทม.ผมจะต้องไปซื้อถุงเท้านิ้วมาใช้ T_T

สู่กิโลเมตรที่ 30 เป็นช่วงเข้าไปที่บริเวณการจัดงานพืชสวนโลก ซึ่งต้องวิ่งเข้าไปและกลับออกมาประมาณ 3 กิโลเห็นจะได้ เป็นอะไรที่สดชื่นมาก เพราะมองไปก็เจอต้นไม้ แต่ที่ไม่ชอบก็คือมีพวกแข่งจักรยานที่มาจัดงานในนี้มาปั่นโชว์ห่าวด้วย เบื่อ

ในรูปจะเห็นฝรั่งเสื้อเหลือง ผมวิ่งกับเขาตีคู่มาตลอดร่วม 10 กิโล ต่างคนต่างให้กำลังใจกันว่า ใกล้ถึงแล้ว อีกนิดเดียว สู้ๆ ซึ่งดีงามครับ… หลังออกจากพืชสวนโลกประมาณ 2-3 กิโล เขาก็ค่อยๆ วิ่งจากไป ปล่อยให้ผมเดินเจ็บทีนต่อ

IMG_1385

5 กิโลเมตรถัดมา รถเริ่มเยอะมากขึ้น การวิ่งเริ่มไม่ค่อยปลอดภัยถึงแม้จะมีกรวยมาแบ่งเลนก็ตาม แต่ก็ต้องมีการข้ามไปอีกฟากด้วย ซึ่งจุดนี้ขาผมหมดแรงแล้ว ด้วยทั้งอาการเจ็บของนิ้วและเข่าเริ่มปวด (อาการเข่ามาช่วงนี้) แต่ก็ยังดีที่ในช่วงนี้มีซุ้มจาก Group มีการฉีดสเปรย์ที่เข่าและน่องให้ ซึ่งก็ช่วยได้ดีพอสมควร ทำให้พอวิ่งไปได้ต่อ

IMG_1383

เหลือ 7 กิโลเมตร ผมเริ่มเดินเยอะขึ้น จากช่วงครึ่งแรกไม่ค่อยเดิน มาเดินที่นี่หมดเลย แต่ก็พยายามมองว่าลูกโป่ง Pacer 5:30 นั้นวิ่งตามมาทันไหมอยู่เรื่อยๆ เพราะผมวิ่งหนีเขา ถ้าเขาวิ่งทัน ผมก็จะไม่ได้เวลาตามที่หวังไว้ จุดนี้โชคดีที่สะสมบุญเก่าไว้พอสมควร 555

thread-505086-5499e5f4908df

ภาพจาก forrunner

2 กิโลเมตรสุดท้าย เข้าสู่รอบคูเมือง จุดนี้ผมอยากกินเกเตอเรตมาก เลยแวะเข้า 7-11 ซื้อมาซด และวิ่งต่อยาวเลยจนจบเข้าเส้นชัยอย่างทรมานตีนที่ 5 ชั่วโมง 16 นาที

Screenshot_104

I Am Finisher…

เข้าเส้นชัยแบบดีใจมาก เพราะสิ่งที่เราอยากจะทำให้ได้ เราทำได้แล้ว ได้เสื้อ finisher ที่ใครอยากได้ต้องไปหาซื้อเอาปีหน้านะ (เขาจะเอามาขายเลหลัง 555)

ไชโย…

IMG_1579IMG_1387

มาถึงเส้นชัย เจอสองเข้ามาก่อนแล้ว ซึ่งคิดว่าคงหิวมาก เลยรีบวิ่งเข้าเส้นชัยใช้เวลาไม่ถึง 4 ชั่วโมงครึ่ง และ นิว @ratanawut วิ่งเข้ามาเกือบๆ 5 ชั่วโมง

IMG_1581

และก่อนกลับ เลยถ่ายภาพที่ระลึกกับพี่ป๊อก ประธานกลุ่ม 42.195 ว่าผมผ่านมาราธอนแล้วนะฮ้าบ

IMG_1577
สรุป 2014

IMG_1573

  • 1 มาราธอน 42.195 กิโลเมตร
  • 4 ฮาล์ฟมาราธอน  21.1 กิโลเมตร
  • 1 10 ไมล์
  • นอกนั้นอีก 6 งานเป็น 10 โลแบบยิบย่อย (ระยะมินิมาราธอน บางงานก็ขาดไปหลายร้อยเมตรอยู่ บ้างก็เกินแบบน่าเกลียดเช่นงานไบกอน)

ขอบคุณ คำสบประมาทจากบางท่านว่าหน้าอย่างผมวิ่งไม่ได้หรอก, อ้วนขนาดนี้จะวิ่งไหวเหรอ, นี่ขนาดวิ่งแล้วยังขนาดนี้ ที่ทำให้ผมผ่านมาราธอนแรกได้อย่างภูมิใจกว่าเดิม…

[blockquote source=”เขา (นิชคุณ หรเวชกุล)”]ถ้าคุณอยากวิ่ง คุณวิ่งกิโลเดียวก็พอ แต่ถ้าคุณอยากพบชีวิตใหม่ คุณค่อยมาวิ่งมาราธอน[/blockquote]

…ผมเชื่อแล้วครับว่า ประโยคนี้เป็นจริง

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.