เรื่องเล่าหลังงาน Blogosphere by Krungsri GURU ในมุมมองของผม

เมื่อปลายปีที่แล้ว ผมเคยพูดถึงบล็อก Krungsri GURU ไปแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งในตอนนี้ผมก็ชมไปว่าด้วยการเลือกคนที่เข้ามาเขียนและเนื้อหาที่มีอยู่บนนั้นเป็นสิ่งที่คนอ่านต้องการที่จะรู้จากคนที่อยู่ในวงการและคลุกคลีจริงๆ ทั้งนี้ก็เพราะมันเป็นเรื่องการลงทุนและเงินๆ ทองๆ ทั้งนั้น และถือเป็นการทำ Content Marketing ที่ลงทุนกับมันสูงแต่ผลตอบแทนในแง่ขององค์ความรู้มันได้ระยะยาว

blogosphere7

จนมาถึงตอนนี้ ก็ได้ทราบว่านักเขียนใน Krungsri GURU มีเพิ่มขึ้นจากเดิมหลายท่าน (ถึงแม้บางท่านก็มีดราม่าด้วยการทำตัวเขาเองและได้ออกไปแล้วก็ตาม) โดยแต่ละท่านดูน่าสนใจและชำนาญในเรื่องการเงินเป็นหลักแต่แกนการเล่าเรื่องก็แตกต่างกันออกไปตามความถนัดในด้านการเล่าในแต่ละด้านที่ถนัดกันออกไป

และเพื่อเป็นการได้พบตัวจริงของเหล่า GURU จากทางกรุงศรี เลยมีการจัดงานเพื่อพบกันระหว่างกลุ่ม Blogger ที่มีบล็อกเป็นของตัวเองกับทาง Krungsri GURU โดยใช้ชื่องานว่า Blogosphere by Krungsri GURU ขึ้น โดยมีเว็บไซต์ 3 เจ้าร่วมสนับสนุนได้แก่ Stock2morrowAommoney และ thumbsup ซึ่งผมทำงานอยู่ด้วยนั่นเอง

blogosphere2

ต้องบอกว่าความคาดหวังของผมสำหรับงานนี้ก่อนเริ่ม ก็น่าจะได้เจอคนที่พอจะรู้จักบ้าง และก็คงได้แชร์สารทุกข์สุขดิบตามประสา แต่ก็จะพยายามตบเข้ากับงานในแง่การแชร์และแนะนำอะไรบางอย่างที่เราพอจะมีความรู้และติดตามอยู่บ้าง พวก social media, content marketing อะไรเทือกๆ นี้ แต่พอเข้าไปในงานจริงๆ แล้วผมแทบว่างเปล่าเลย เพราะในช่วงแรกผมเจอกับคนที่ไม่เคยเจอตัวจริงมาก่อน แต่กลับเจอคนที่อยู่ในโลกของการเงินและการลงทุนแทบทั้งนั้นจากทาง aommoney ซึ่งปกติผมก็ได้ติดตามอ่านบทความของเขาอยู่เรื่อยๆ เช่นคุณ Taxbugnoms, คุณไม้แบด, คุณ mr.messenger, คุณกวิน, นายแว่นธรรมดา รวมถึงอาจารย์เกด ที่จบจากญี่ปุ่น ซึ่งจะเป็นผู้เขียนหนังสือ Japan Gossip, สุโก้ยแจแปน และเว็บไซต์เกี่ยวกับญี่ปุ่น Marumura.com

เอาเข้าจริงผมได้คุยแทบจะทุกคน แต่ผมกลับคุยกับอาจารย์เกดมากที่สุด เพราะผมเคยติดตามอ่านหนังสือมาแล้วเพิ่งจะได้พบตัวจริง จุดนี้ทำให้ผมพูดเยอะกว่าเดิมเพราะพื้นฐานของผมสนใจเรื่องญี่ปุ่นอยู่แล้วเป็นทุนเดิม เลยได้แลกเปลี่ยนความคิดอะไรเยอะ เพราะคนที่มาจากสาย Pure Marketing ได้มาเจอกับลูกมั่ว Digital Marketing อย่างผม ฮ่าๆ

blogosphere8

รวมไปถึงก็ยังได้แนะนำตัวกับทีมกรุงศรี ทั้ง Digital Marketing และ PR ซึ่งจริงๆ ผมเคยมีโอกาสจะได้ร่วมงานกันกับทางทีมคุณโยโย่ ภคมน Digital Marketing Leader E-Business Group แล้ว แต่ด้วยเหตุเล็กๆ เลยไม่ได้ร่วมทีม แต่ก็ได้แลกเปลี่ยนแนวคิดอะไรกันเยอะครับ รวมถึงภาวะ crisis ที่เพิ่งผ่านมาสดๆ ร้อนๆ ซึ่งผมก็ชมไปว่าทีมทำงานเก่งมากๆ เพราะเหตุเกิดเมือวันเสาร์ แต่ก็สามารถทำให้จบได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง

blogosphere4

กลับเข้ามาที่งานครับ รูปแบบของงานก็มาในแบบง่ายๆ สบายๆ มีโต๊ะจัดเป็นกลุ่มๆ ไว้ให้สามารถสนทนาได้ง่าย แต่พอเอาเข้าจริงก็จับกลุ่มคุยอยู่ไม่กี่คน ผมเองก็เป็นเด็กหลังห้องคอยดูสถานการณ์ บวกกับเข้าชาร์ตหาตัวแต่ละคนเพื่อคุยและแนะนำตัว ซึ่งก็น่าดีใจไม่น้อยที่คนรู้จักเว็บ และติดตามสิ่งที่ผมพยายามถ่ายทอดผ่านตัวอักษรในบทความ

แต่… สิ่งที่ผมหวังเอาไว้อย่างจริงจังคือ น่าจะมี panel พูดคุยกันแบบสบายๆ บนเวที เพราะมีการจัดเวทีด้วย ซึ่งผมก็แอบคาดเอาไว้ว่าผมน่าจะต้องโดนเรียกขึ้นไปคุยด้วย แต่เอาเข้าจริงกลับไม่มีช่วงนี้ มีเพียงการเล่นดนตรีสดให้ฟังคลอไประหว่างทานอาหารและพูดคุย รอจนเวลาผ่านไปก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น อีกอย่างคือการจัดคนให้ลงตามกลุ่มให้มีความแตกต่างออกไป ซึ่งน่าจะช่วยให้มีบทสนทนาที่เข้ากับธีมของงานก็ไม่มี เลยทำให้งานนี้เลยดูแห้งๆ ไปหน่อย

blogosphere5

เรื่องนี้ผมนำไปแจ้งกับผู้จัดงานเรียบร้อยแล้ว และก็น่าจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในงานครั้งหน้าครับ ซึ่งผมมองว่าการจัดงานในรูปแบบอย่างนี้มันจะดีหากสร้างความรู้หรือฉุกคิดทำอะไรต่อไปได้ มากกว่าการก้มหน้าทวีตข้อความ, รอกินอาหาร, รอ lucky draw แล้วก็จบงานเหมือนงาน Blogger ที่ผมเคยเจอๆ มา ซึ่งมันไม่ได้อะไรกลับมาเลยนอกจากอิ่มท้อง

สิ่งนึงที่ผมอยากให้คงไว้คือ รูปแบบการจัดสถานที่แบบนี้ แม้มันจะกลางแจ้งไปหน่อย (บ้านเราก็ร้อนเหลือเกิน) เพราะมันเอื้อกับการเดือนเข้าไปคุยกับคนอื่นได้ง่ายมาก ไม่ได้ฝังรากอยู่กับที่ รวมไปถึงคนที่มาร่วมงาน อาจจะเพิ่มหรือเปลี่ยนกลุ่มใหม่ให้กว้างขึ้นกว่าเดิม ประเด็นของผมก็คือต้องมีอะไรกระตุ้น ซึ่งก็อาจจะเป็นคนในทีม Krungsri GURU เอง หรือเป็นพันธมิตรที่จะมาช่วยให้เกิดบทสนทนาในกลุ่มเพิ่มมากขึ้นเท่านี้ งานก็จะน่าสนุกขึ้นเป็นกองเลย

สิ่งที่ผมได้เรียนรู้คือ การได้พูดคุยกับคนที่ไม่เคยได้เจอกัน แถมอยู่กันคนละวงการ คนละสายอาชีพ มันทำให้เปิดโลกทัศน์ได้อีกด้านนึงไปเลย และที่ผ่านมาผมก็มีโอกาสได้เจอคนกลุ่มใหม่ๆ นี้ตลอดเวลาตั้งแต่ช่วงที่ผมออกมาทำตัวเป็น Freelance ซึ่งมันก็เป็นข้อได้เปรียบของผมจากคนอื่นๆ ที่ยังคงทำงานประจำอยู่

blogosphere6

อีกสิ่งที่ผมได้รู้คือ คนกลุ่มเหล่านี้เขามีความรู้และยินดีที่จะถ่ายทอดและพร้อมที่จะแลกเปลี่ยนอยู่ทุกเมื่อ เขาไม่ได้กุมความรู้ไว้ เพราะจากที่ผมเห็นทุกคนเขาคือคนที่ให้ความรู้ผ่านตัวอักษรและผ่านการสอน ซึ่งผมว่าทุกคนทำได้ ด้วยความรักความชอบ เพียงแค่คุณหาให้เจอเท่านั้นเอง

สุดท้ายถ้าไม่มีเจ้าของงานก็คงไม่มีงานนี้เกิดขึ้นครับ Krungsri GURU สามารถติดตามบทความด้านการเงินและการลงทุนจากผู้เชี่ยวชาญได้ที่ krungsri.com/guru และ Facebook Page Krungsri GURU

บทความนี้เป็น advertorial

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.