ช่วงปีหลังๆ โดยเฉพาะช่วงก้าวข้ามผ่านจากเลข 3 สู่เลข 4 ผมเข้าใจคำว่า “ใจเขาใจเรา” มากขึ้น แต่ก็ไม่ได้ถึงกับเป็นกูรูไปสอนหรือไปเป็นไลฟ์โค้ช เพราะลำพังแค่เอาตัวเองยังไม่ค่อยจะรอดเท่าไหร่ ซึ่งพอมองกลับไปช่วงตัวเองที่ทำงานเลขสองปลายยันเลขสามก็พบว่าเรามันโคตรแย่เลยจริงๆ
อาจจะสงสัยว่าทำไมผมตั้งชื่อบล็อกนี้แปลกๆ ไม่ปกติเหมือนที่ผ่านมาที่ออกจะเป็นแนวอาขยาน รอบนี้ผมได้แรงบันดาลใจจากการที่ผมไปอยู่ในโซเชียล 2 ที่ ได้แก่ Twitter และ Discord แล้วเจออะไรที่น่าสนใจเลยลองเอามาเขียนความคิดของตัวเองดู (แอบอยากตบท้ายด้วยประโยค clickbait ตรงนี้มาก แต่ไม่เอาดีกว่า)
จะสิ่นปี(ก็เหมือนสิ้นใจ) หลายๆ เว็บก็เริ่มมีการทำการสรุปการใช้งานของคนทั่วๆ ไปว่ามีลักษณะการใช้งานว่าเป็นอย่างไรไปบ้าง เริ่มด้วย Facebook ก็มี Facebook Stories รวบรวมเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลก รวมทั้งมีการแยกประเทศต่างๆ ออกมาให้ดูด้วย แต่น่าเสียดายที่ไม่มีประเทศไทย (มีคนใช้ 18 ล้านคนแล้วนะเฟ้ยยย Socialbaker) และพิเศษว่ามี Facebook Year in Review ที่เป็นหน้าเว็บรวบรวม 20 เหตุการณ์ของเราเองที่เกิดขึ้นบน Facebook ของเราแล้วเอามาสร้างเป็นหน้าเว็บ ก็ลองเข้าไปดูครับ
ด้วยความที่เคยเห็นข้อความจาก blog คนอื่นมาพักนึงแล้ว อย่างของเฮียพัชร @iPattt และคุณแอนนนนน @iannnnn สงสัยมาพักนึงแล้วว่า plug-in อะไร(ว่ะ) ที่เอาข้อความทวีตใสแสดงแบบใส่กรอบสวยงาม แถมยังมีให้เราไปกด reply, retweet, fav หรือแม้กระทั่ง follow สุดท้ายก็เจอว่ามันคือ plug-in ที่ชื่อว่า Tweet Embed
ใครหลายคนคงคิดว่า Social Network นี่คงจะเพิ่งมาไม่นาน เพราะได้รับความนิยมและพูดถึงอย่างมากในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา แต่รู้หรือไม่ว่า Social Network นั้นมีมานานแล้ว เพียงแต่ว่าเราไม่ได้นิยามให้มันเป็น Social Network เท่านั้นเอง
คงไม่ต้องพูดอะไรเยอะว่า Facebook และ Twitter คือ 2 Social Network หลักที่มีคนเข้ามาใช้งานมากที่สุดเป็นอันดับ 1 และ 2 ตามลำดับ Infographic ตัวนี้จะหันกลับมาถามเราว่า เราติด FB และ Twitter อย่างงอมแงมหรือเปล่า พร้อมทั้งบอกสิ่งที่เตือนว่า เราติดแล้วเว้ย เย้ๆ (ดีใจทำไม?) ลองอ่านกันดูครับ ^^
ถ้าถามว่าสถานที่ทำงานที่คนสายไอทีทั้งโลกอยากเข้าไปร่วมงานสักครั้งในชีวิต คำตอบคงหนีไม่พ้น Google, Apple, Microsoft, Facebook และอื่นๆ เป็นแน่แท้ และทุกบริษัทที่กล่าวมานั้นอยู่รวมกันในที่ที่เรียกว่า Silicon Valley ด้วยความดังของบริษัทแต่ละที่ ทำให้กว่าที่เราจะเข้านั่งทำงานและติดบัตรเป็นพนักงานได้ก็ยากเย็นแสนเข็ญและลากเลือดตามไปด้วย แต่เมื่อเราเข้าไปแล้ว นอกจากเราจะ happy ดี๋ด๋าที่ได้ร่วมงานกับบริษัทดังๆ แล้ว บริษัทก็ตอบแทนพนักงานที่จะทุ่มเทการทำงานให้กับเค้าด้วยสวัสดิการดีดีแบบสุดโต่ง ที่พี่น้องไทยได้เห็นแล้วทำได้เพียงกลืนน้ำลาย…
ชั่วโมงนี้ถ้าใครที่ทำธุรกิจแล้วไม่ใช้ Social media เป็นตัวช่วยในการทำการตลาด คงเป็นเรื่องที่แปลกแน่ๆ ซึ่งเราจะเจอร้านค้าหรือธุรกิจแทบทุกขนาดตั้งแต่ S M L XL ยัน Freesize ลงมาหยิบฉวยโอกาสในการโปรโมทสินค้าหรือบริการใน SM ซึ่งสิ่งที่ได้มากกว่าการโปรโมทคือความใกล้ชิดกับผู้ที่สนใจหรือผู้ที่ใช้บริการนั้นโดยตรง ใครที่ทำร้านเล็กๆ อยู่ถ้าจัดการดูแล SM ดีดีแล้วจะช่วยทำให้ร้านเล็กๆ ของเรา กลายเป็นร้านที่มีขนาดใหญ่ขึ้นในโลกอินเทอร์เนตด้วยค่าใช้จ่ายเพียงไม่เท่าไหร่หรือแทบจะไม่ต้องเสียเลย (มีเสียบ้างถ้าคุณอยากแปะโฆษณา)
ในการสร้างหรือปั้น Brand ในปัจจุบัน เครื่องมือที่มีผู้ใช้มากที่สุดนั่นคือ Social Network ด้วยข้อดีของมันนอกจากสามารถสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมายได้โดยตรง, ความรวดเร็วในการสื่อสาร, การสื่อสารแบบสองทาง(2-way communication) ที่สามารถโต้ตอบกันได้โดยตรง ซึ่งมันสามารถลดระยะความห่างของผู้ผลิตและผู้บริโภคได้อย่างดี แต่ข้อเสียก็อยู่ในข้อดีของมัน เพราะถ้าเราทำอะไรออกไปไม่ดี สิ่งที่ถูกสื่อสารออกไปนั้นก็จะถูกกระจายออกไปอย่างรวดเร็วเหมือนกัน
นอกจาก Facebook จะที่เป้าหมายแรกที่เหล่านักปั้นแบรนด์ต่างๆ ทำการสร้างงานสร้างอาชีพกันบน Social Network แล้ว, Twitter ก็เป็นอีก 1 ช่องทางในการทำการตลาดหรือสื่อข้อความให้กับเป้าหมายทางการตลาดเป็นอย่างดี แม้จะมีข้อจำกัดที่ 140 ตัวอักษร แต่กลับซ่อนความเจ๋งนั่นคือ คนที่ส่งข้อความออกไปจะต้องสื่อออกมาได้ใจความชัดเจนและกระชับ แถมยังแพร่หลายได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย แต่การส่งผ่านข้อความนั้น ควรต้องรู้จักกาลเทศะและรู้จังหวะเวลาในการปล่อยด้วย จึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดี มากกว่าคำด่าสวดกลับมาซึ่งไม่ใช่ด่าเรา แต่เป็นแบรนด์ที่เราสวมใส่ในการสื่อข้อความออกไป Infographic ที่หยิบมาวันนี้ ขอยกพฤติกรรมการทำข้อความซ้ำหรือ (Retweet) และ Follow จากผลสำรวจผู้ใช้งาน Twitter ที่ทำโดย WhiteFireSEO ภาพใต้หัวข้อ “Twitter psychology for marketers” หรือ จิตวิทยาบน Twitter สำหรับนักการตลาด