ก่อนอื่น ขออนุญาตดีใจก่อนครับ เพราะคนเข้ามาอ่านเยอะพอสมควรเลย ทั้งๆ ที่มันเป็น Blog IT แท้ๆ แต่ผมก็ทะลึ่งทำเป็นไดอารี่ซะแล้ว ฮ่าๆ ยังไม่แน่ใจว่าจะมีกี่ตอนนะครับ เพราะว่าไปมา 10 วัน เรื่องเล่าเรื่องบ่นก็เยอะตามจำนวนวัน แต่ก็จะพยายามเล่าสิ่งที่พบที่เจอ เผื่อว่ามันเป็นประโยชน์กับคนที่คิดจะไปหรืออยากจะไปญี่ปุ่นบ้างสักนิดนึงก็ยังดีครับ ^_^
มาถึงวันที่ 2 และ 3 ในโตเกียว เป็นวันลืมแก่ของผม เพราะที่ที่ผมจะไปนั่นคือ Fujiko·F·Fujio Museum และ Sanrio Puroland แดนอิสาน (อันหลังนี่ผมอยากมาตั้งแต่เรียนม.ปลายแล้วหล่ะครับ คลั่ง sanrio มากๆ ตอนนั้น)
ลืมแก่วันแรก Fujiko·F·Fujio
วันที่สองของการอยู่ในญี่ปุ่น ตรงกับวันที่ 11-11-11 (ลองอ่านเกร็ดเล็กๆ เกี่ยวกับวันนี้ผ่านเวป JapaiJapan ได้ใน รวมฮิตเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย วันที่ 11 เดือน 11 ( 2011) ในญี่ปุ่น) วันนี้มีนัดกับแคทโตะ @redlovetree ไป Fujiko·F·Fujio Museum หรือ Doraemon Museum นั่นเอง ซึ่งต้องนั่งรถไฟออกจากโตเกียวออกไปนอกเมืองแล้วไปต่อรถบัส ที่ต่างเมือง และที่สำคัญต้องจองตั๋วเข้า Museum กันล่วงหน้าด้วย ที่ร้าน Lawson เท่านั้น (เหมือน 7-11 นั่นแหละครับ) ซึ่งแคทก็เป็นธุระ ทำการจองให้เรียบร้อย หน้าตาใบจองเป็นอย่างด้านล่างครับ ราคา 1000yen
ก่อนจะไปจอง แคทได้ถามผมก่อนแล้วว่า จะไป Doraemon Museum วันไหนดี ตอนแรกก่ะไว้ในใจว่าคงไม่พ้นเสาร์อาทิตย์แน่ๆ แต่สุดท้ายแคทก็บอกว่า วันเสาร์-อาทิตย์ช่วง 2 เดือนนี้ (nov-dec) เต็มยาวไปล่วงหน้าเรียบร้อย เลยไม่มีทางเลือกว่าต้องวันศุกร์ที่ 11 เท่านั้น ดังนั้นใครจะไปเยือน ควรเลือกเป็นวันธรรมดาจะได้ค่อนข้างชัวร์กว่าครับ และให้เลือกรอบเช้าๆ ได้ยิ่งดี เพราะเค้าจำกัดเฉพาะเวลาการเข้าต้องเข้าตามเวลาตั๋วเท่านั้น แต่ไม่ว่ารอบไหนก็อยู่ได้จนปิดเลย คือ 6 โมงเย็น
ผมเข้าใจว่าที่ทำอย่างนี้เพราะต้องการให้คนที่ไปได้เสพย์และดื่มด่ำความเป็นการ์ตูนของอาจารย์ Fujiko ได้อย่างเต็มที่ ไม่เบียดเสียดกันมาก เลยต้องจัดการจำกัดการเข้าแต่ละวันแบบตายตัว นี่คือความเอาใจใส่ที่น่าสนใจ ไม่เห็นแก่เงินอย่างเดียว…
ลองดูรายละเอียดจากเวปของทาง museum โดยตรงครับ Fujiko·F·Fujio Museum
ใจจริงเมื่อคืนวางแผนจะตื่นเร็วหน่อยเพื่อไปเดินที่ Akihabara สัก 2 ชั่วโมงก่อนไปเจอกับแคทที่ชินจุกุ เพื่อกินข้าวและขึ้นรถไฟประมาณเที่ยง แต่เพราะคงนอนน้อยสะสมตั้งแต่เมื่อวาน เลยทำให้ตื่นสาย(มากกกกก) คือรู้สึกตัวก็ปาไป 10 โมงแล้ว
แต่ด้วยความอยากไป Akihabara ผมเลยตัดสินใจแวปไปแบบเร่งๆ คือตั้งใจไปซื้อของอยู่อย่างนึงที่ Yodobashi Akihabara (เดี๋ยวคงเอามาพูดถึงหลังมหากาพย์ไดอารี่ญี่ปุ่นนี้ครับ เพราะเป็น Gadget อย่างเดียวที่ได้มา) พอได้ปั๊บก็เด้งออกจากอากิทันทีมุ่งไปที่ ชินจุกุทันที แต่ด้วยความเบลอและเซ่อและยังไม่รู้ตัว ก็ออกจากสถานีแล้วมุ่งตรงไปร้าน Tsutaya ที่ตรงหัวมุมถนนเพื่อไปดู CD จากนั้นไม่นานแคทก็โทรเข้ามาบอกว่าตอนนี้อยู่ที่ชินจุกุแล้วนะ ผมก็บอกไปว่าอยู่แล้วเหมือนกัน
…แต่ที่ไหนได้ ที่ที่ผมอยู่มันคือ ชิบูย่าเฟ้ย ไม่ใช่ชินจุกุ! -___-a
หน้าแหกกันไป เพราะชื่อมันคล้ายกัน+แล้วผมสับสนเอง เลยต้องวิ่งกลับไปรถใต้ดิน หาทางไปชินจุกุแบบด่วนที่สุด สุดท้ายก็ไปเจอแคทด้วยเวลาประมาณ 25 นาที นับเป็นความอับอายจริงๆ ตอนนี้จำได้ขึ้นใจแล้ว…
ไปถึงที่ แคทบอกว่ามีคนไทยที่มาเรียนที่นี่เค้ามาช่วยสั่งข้าวไว้ให้แล้ว คือเบสท์ @besuto เค้ารุ่นเดียวๆ กับผมนี่แหละ ตอนนี้เบสท์เรียนการทำ Sound อยู่ที่นี่ ใกล้จะจบแล้ว มีผลงานทำ Sound ให้หนังมาแล้ว 2-3 เรื่อง …เก่งจริงๆ 😀
มื้อนี้ได้กินหมอตง เอ้ย ทงคัตซึ อร่อยล้ำเหมือนเคย(และจุก) อิ่มแล้วเบสท์ก็แยกตัวออกไป เหลือผมก่ะแคทไปขึ้นรถไฟที่ชินจุกุ เพื่อไปที่ Museum
Museum นี้เพิ่งเปิดมาได้เป็นเดือนที่ 2 เองครับ คนญี่ปุ่นค่อนข้างเห่อมากๆ เพราะดูจากยอดการเข้าชมเสาร์-อาทิตย์ที่เต็มล่วงหน้าไปแล้ว ขนาดผมไปวันศุกร์ ผมยังต้องยืนรอเข้าคิวรถบัสผ่านไป 3 คันถึงจะได้ไป
ค่ารถไปกลับ เด็กน้อย 200yen ผู้เฒ่า 400yen แต่ที่น่าลุ้นคือเราจะได้ขึ้นรถลายอะไร ซึ่งปกติจะมีอยู่ 4 ลายไม่ซ้ำกัน (ถ่ายมาได้ 2 ลาย) สุดท้ายก็ได้ขึ้นรถผีน้อยคิวทาโร่~
ลืมบอกไปว่าวันที่ไป ฝนตกครับ! แต่ยังดีที่ว่า museum เป็นแบบ indoor เลยไม่เจอผลกระทบเท่าไหร่ จะโดนเฉพาะตอนไปถ่ายรูปด้านนอกนิดหน่อย
พอมาถึงก็ต้องเอาบัตรที่ได้มาจากร้าน Lawson มารับตั๋วเล็กๆ 1 ใบ เพื่อเอาไว้เข้าดูหนังใน museum ครับ
ภายใน Museum เป็นการแสดงงานและประวัติของอ.Fujiko ตั้งแต่เริ่มแรกจนมาถึงการ์ตูนหลายๆเรื่อยๆ รวมถึงเรื่องที่เป็นอมตะที่สุดนั่นก็คือ โดราเอม่อน แต่น่าเสียดายที่บางส่วนใน Museum นั้นไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพได้ จะแอบก็ยากมากเพราะมีพนักงานคุมและดูแลแบบเข้มข้น เราไม่นอนจริงๆ ภาพที่ได้จึงมีแต่ที่ที่เค้าอนุญาตให้ถ่ายเท่านั้นนะครับ (ผมเองก็ไม่ค่อยได้ถ่ายด้วยแหละ มัวแต่อิ่มเอม)
นอกจากโดราเอม่อนแล้ว ยังมีการ์ตูนที่คุ้นๆ กันก็คือ ปาร์แมน (แต่ที่นี่เรียกว่า Perman), คิวทาโร่ และอื่นๆ
ผมถือว่าเป็น Museum ที่จัดวาง display งานต่างๆ และนำเสนอได้น่าสนใจและสวยมาก ส่วนตัวผมชอบโต๊ะทำงานของอาจารย์ เพราะสิ่งที่แกชอบอยู่ที่นี่หมด แกชอบดูหนัง ชอบศึกษาสัตว์โลกล้านปี ชอบต่อรถไฟจำลอง(ที่วิ่งบนราง) ฯลฯ จะแย่ก็ตรงที่ถ่ายรูปไม่ได้เลยจริงๆ (แต่มีขายลงในหนังสือของ museum ราคาพอสมควร) เฮ้อ! ใครเป็นแฟนอาจารย์ Fujiko ต้องหาโอกาสไปดูด้วยตัวเองนะครับ ไม่ผิดหวังแน่ๆ
พอออกมาจากห้องจัดผลงานแล้ว ก็จะมีห้องคล้ายๆ Playground ให้เราได้อ่านการ์ตูนเล่มหนาๆ และยังมีกาชาปองให้เราหยอดเสียเงินอีกด้วย ผมหยอดไปสองอัน อันละ 200yen ได้โดราเอม่อนทั้งคู่ เลยเอาให้แคทโตะไปตัวนึง แคทบอกว่ามาครั้งที่แล้วกับเบสท์หยอดยังไงก็ไม่ได้โดราเอม่อน -__-”
นอกจากนี้ยังมีโรงหนังฉายหนัง ซึ่งเป็นการรวมผลงานที่สร้างสรรค์ตัวละครโดยอาจารย์ Fujiko มาเรียบเรียงเป็นเรื่องใหม่ แม้ผมจะฟังภาษาไม่ออกเลย แต่ผมรู้สึกได้ถึงความสุหนัดนะ และดูได้แค่รอบเดียวเท่านั้น เพราะมีการตัดตั๋วที่แลกตอนเข้ามา (ถูกตัดเป็นรูกุญแจ แต่ครั้งก่อนแคทบอกว่าเป็นรูปตัว F)
พอดูเสร็จก็เริ่มหาของกันใน Cafe ซึ่งต้องรอคิวอีกเป็นร้อย เลยออกไปถ่ายรูปด้านนอก ซึ่งมีรูปตัวละครหลายๆตัวโชว์ด้านนอกครับ (แต่ต้องกางร่มไป เพราะฝนตก)
กลับมากว่าจะได้กินขนมกัน รอรวมกันเกือบ 2 ชั่วโมงเลยทีเดียว แล้วก็ได้กิน แคทสั่งเครปเกรียนซึเนโอะกับลาเต้ร้อน ผมกินนมวานิลลาร้อนรูปโดเรมี่ ได้แค่ข้อสรุปว่า “ได้แค่คุณค่าทางจิตใจ หาความอิ่มมิได้…” (แถมราคากระอักทีเดียว)
เสร็จแล้วก็นั่งรถกลับเข้ามาขึ้นรถไฟกลับเข้าเมืองโตเกียว มาหาข้าวกินในชินจุกุ แคทพาไปกินร้านประจำของแคท ปีกไก่พริกไทย ขึ้นจมูกขั้นพระเจ้า แต่อร่อยมากมายแบบไม่ต้องไปนาโงย่าเลยทีเดียว 😀
จบวันลืมแก่วันแรก…
ลืมแก่วันที่ 2 – Sanrio Puroland ไปหาคุณนาย Hello Kitty
วันที่ 12 Nov ตามแผนของผมคือไป Puroland แน่นอน แถมคิดว่าจะไปที่โอไดบะไปถ่ายสะพานสายรุ้งด้วยหลังจากกลับมาจาก Puroland
Sanrio Puroland เป็นที่ที่ผมอยากไปมานานแล้ว แม้มันจะดูแหกคอกจากหน้าตาและอายุก็ตาม แต่ด้วยความที่ผมชอบอะไรที่เป็น Sanrio ตั้งแต่สมัยม.ปลายหล่ะ มันเลยกลายเป็นความฝังใจว่า สักวันนึงจะต้องไปเยือนบ้าน Sanrio ให้ได้ เมื่อมีโอกาสผมก็จึงคว้า ไม่ปล่อยให้พลาดทันที จัดแจงซื้อบัตรตั้งแต่อยู่ที่ไทยเลย ประมาณ กรูไปชัวร์ๆ…
ที่จริงแล้ว สามารถซื้อเป็น package ได้ที่สถานีรถไฟชินจุกุ ที่รถไฟสาย Keio เลยก็ได้ครับ เป็น package ตั๋วรถไฟไปกลับ+ตั๋วเข้า 4000yen แต่ถ้าที่ผมซื้อจากไทย มีเฉพาะตั๋วเข้าอย่างเดียว 1250 บาท แล้วมาเสียค่ารถไปกลับอีก 660yen เมื่อบวกกันแล้ว ราคาที่ผมซื้อถูกกว่า package นิดหน่อยครับ
*สถานีชินจุกุ เหมือนเป็น Hub รวมบริษัทรถไฟหลายๆ เจ้าเพื่อออกนอกเมืองครับ ดังนั้นต้องเชคดีดีก่อนเดินทางว่าเราจะต้องขึ้นรถไฟของบริษัทไหนดีดีครับ
รายละเอียดดูที่นี่เลยครับ Puroland
ตื่นสายอีกตามฟอร์มวันนี้ กว่าขึ้นรถไฟจากที่พัก มาต่อที่ชินจุกุเพื่อต่อรถไฟไปถึงที่ Puroland ก็เที่ยงกว่าๆ แล้ว เมื่อลงรถไฟ ถ้าเห็นป้ายแผนที่เมืองเป็นการ์ตูน แสดงว่าคุณมาถูกที่แล้ว!
นอกจากสัญลักษณ์ป้ายต่างๆ หากคุณเจอพ่อแม่ลูกเล็กๆ ขึ้นรถไฟมาด้วยกัน เปอร์เซ็นต์ที่จะมา Puroland ก็แทบจะ 100%
…มีแต่ไอ้อ้วนนี่แหละมาคนเดียวเพียวๆ (ก็มันอยากมาสักครั้งนี่หน่า)
เนื่องจากผมซื้อบัตรเบ่งมาตั้งแต่เมืองไทย ซึ่งสามารถ(แย่งเด็กทารก)เล่นได้ทุกเครื่องเล่นไม่จำกัด ผมเลยยื่นบัตรนั้นให้พนักงานสุดสวย(ไม่มีภาพประกอบ)ปั๊มวันที่ที่เข้าไป ก็เข้าสู่ดินแดนหมดตูดของผมแล้ว ยิปปี้!
ส่วนประกอบของซาริโอ้พุงโลแลนด์ไม่กว้างมาก มี 4 ชั้น ส่วนใหญ่เป็นที่ขายของล่อลวงเงินออกจากกระเป๋า และมีตู้ UFO Catcher (ตู้คีบตุ๊กตา) แต่ถ้ามองในแง่มุมของเด็ก เค้าตกแต่งสถานที่เป็นโลกอีกโลกนึงเลยที่เด็ก(รวมถึงผม)น่าจะสุขมากๆ เพราะเต็มไปด้วยตัวการ์ตูนของ Sanrio
4 ชั้นแต่ผมเดินวนไปมาอย่างบ้าคลั่ง กว่าจะหลุดออกมาก็ 4 โมงครึ่งแล้ว คงไปไม่ทันสะพานที่โอไดบะ แล้วแคทก็โทรมาหาว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน เพราะจะนัดกินข้าวกับน้องบีจัง @bee_jung แถวๆ ฮาราจุกุ ก็เลยไปกินด้วยเลยเพราะน้องเค้าจะบินกลับไทยวันรุ่งขึ้นแล้ว…
นิยามของน้อง บจ.คือ ฮา+รั่วจริงๆ ^^”
แคทก็พาไปกินข้าวและเดินลุยฮาราจุกุ และพาไปกินเครปของขึ้นชื่อว่าต้องกินเมื่อเดินเข้ามาซอยนี้ ดูแคทจะไม่ค่อยสบายนะรูปนี้ (หน้ามืด!)
แล้วก็พาเดินจากฮาราจุกุทะลุไปชินจุกุ พามาสักการะ Apple Store และแยกคนมหาศาลที่รอข้ามถนน และพาผมไปสักการะ Tower Records (ผมโดน CD ไป 3 แผ่น+น้องที่ทำงานฝากซื้อด้วยอีกแผ่น)
*ใครที่ชอบฟังเพลงญี่ปุ่น ราคาแผ่น CD ถือว่าแพงเอาเรื่องที่เดียว แค่ออกมาเป็น Single ก็ซัดไป 1000-1500yen แล้ว (400-600 บาทไทย) ถ้าอัลบั้มเต็มๆ ก็ 3000-3500yen แล้วแต่ค่ายและความดัง รวมไปถึงว่า CD ที่นี่มักจะออกมา 2 แบบคือ CD แบบ Solo กับ CD+DVD ราคาจะต่างกันประมาณ 500yen ครับ
…และที่สำคัญ ตอนนี้เพลงเกาหลีครองตลาดญี่ปุ่นไปแล้ว เท่าที่สังเกต Chart การขายเพลงใน Tower Records ยอดขายแผ่นของวงหรือนักร้องที่มาจากเกาหลีโดดขึ้นเป็นอันดับ 1 ตลอด
จากนั้นก็แยกย้ายร่ำรากัน ก่อนไปขึ้นรถใต้ดินกลับแหล่งพักพิงของแต่ละคน เส้นทางกลับของผมก็ยังคงผ่านวัด Sensoji เหมือนเดิม แล้วก็ถ่ายรูปเหมือนเดิมครับ แต่รอบนี้สงบ ไม่มีคนเพราะเกือบ 5 ทุ่มหล่ะ -_-‘
แล้วพรุ่งนี้ก็ถึงเวลาที่ผมต้องย้ายที่นอนแล้ว เปลี่ยนไปนอนชมฟูจิซังที่ Kawaguchiko รออ่านกันในตอนหน้าครับว่าจะเป็นยังไงบ้าง ^^
ข้อมูลแน่นแบบนี้ น่า copy แล้วลองไปจริงแท้
@mate
มีนินทาเราด้วย…. เอิ๊กกกกกกก
หุหุ ^^
แบงค์ผอมลงเยอะเลยเนอะ
อยากไปพิพิธภัณฑ์โดราเอมอนบ้าง อยากไปญี่ปุ่นที่สุด