สมัยนี้การหาคนที่เขียนจดหมายโต้ตอบไปมาเป็นสิ่งที่หายากมากๆ พอๆ กับ SSR หรือ UR ของน้องๆ วงไอดอลทั้งหลาย (ยังจะวนเข้ามาเรื่องนี้จนได้) เพราะยุคนี้มีเครื่องมือที่ชื่อว่า อีเมล หรือแอปพลิเคชันรับส่งข้อความ ทำให้เวลาที่ต้องเขียนและรอคอยไม่จำเป็นอีกต่อไป
เสน่ห์ของการเขียนจดหมาย คือความตั้งใจในทุกๆ อย่าง ตั้งแต่การเลือกกระดาษ การเขียนด้วยลายมือ การคิดถึงข้อความที่ต้องการจะสื่อสาร รวมไปถึงซองที่จะเป็นสิ่งแรกที่ผู้รับจะได้เห็นกับลายมือชื่อที่อยู่ของตัวเองจากลายมือของผู้เขียน
ย้อนกลับไปตอนช่วงผมเรียนมหาวิทยาลัย เกือบๆ 20 ปีแล้ว ตอนนั้นยังมีการเขียนจดหมายหากันกับเพื่อนในกลุ่มที่เรียนมัธยม ซึ่งเสน่ห์อีกอย่างของการใช้จดหมายเพื่อสื่อสารก็คือ การที่ส่งไปแล้ว เขาจะได้รับไหม แล้วเขาจะตอบกลับมาไหม
พอพูดถึงจดหมาย วันที่ผมเขียน ผมได้รับจดหมายฉบับนึงที่เป็นปริศนา เพราะผมไม่รู้จักผู้ส่งแต่อย่างใด แต่มีชื่อและที่อยู่โดยระบุว่ามาขอนแก่น ซึ่งตอนแรกผมก็สงสัยว่า ผมสั่งของที่ระลึกด้อม BNK48 คนไหนอีกนะ เพราะที่สั่งๆ ไปก็ได้ครบหมดแล้ว เลยไม่รอช้าที่จะแกะออกมา
สารภาพว่าตอนแรกกลัวเป็นจดหมายลูกโซ่ หรือ จดหมายใส่ไวรัสโควิด โอ้ย ความคิดโคตรบ้าบอตอนนั้น
เปิดซองออกมา เจอกระดาษ 1 แผ่น ซึ่งน่าจะเป็นกระดาศจากสมุดทำรายงาน เป็นลายมือเขียนพร้อมกับโครงสร้างของจดหมายที่ควรมี ที่อยู่ อยู่ที่มุมขวา ตรงกลางเป็นวันที่ คำขึ้นต้นอยู่ด้านซ้าย และเนื้อความ
แล้วก็ได้รู้ว่าจดหมายนี้เป็นของน้องนักศึกษาคนนึง ที่ผมโอนเงินทุนการศึกษาผ่านเพื่อนที่อยู่ที่ ม.ขอนแก่น คณะวิทยาการคอมพิวเตอร์ ที่ผมจบมา
ใจความคือการเขียนขอบคุณที่เรามอบทุนให้ และจะนำเงินที่ได้มาใช้ประโยชน์สูงสุดสำหรับการศึกษา และจะตั้งใจเรียน
ผมค่อนข้างประหลาดใจมากกับจดหมายที่ได้รับ เพราะนี่เป็นจดหมายเขียนมือฉบับแรกในรอบเกือบๆ 20 ปีเห็นจะได้ที่ผมได้รับ และความพิเศษคือมาจากรุ่นน้องที่เป็นเด็กวิทย์คอม เหมือนกัน (อย่านับรุ่นเลยน้อง นิ้วมันจะไม่พอ)
ความรู้สึกผมก็ไม่มีอะไรมากนอกจากยินดีที่น้องได้รับทุนแล้ว ที่เหลือก็คือความสบายใจที่ผมได้ทำตามสิ่งที่ผมอยากจะทำมาตั้งนานแล้ว นั่นคือ การให้ทุนการศึกษา ซึ่งผมทำมาได้ 2 ปีแล้ว (น่าจะนะ)
วันที่เริ่มคิดจะบริจาค ผมแค่รู้สึกว่าตอนนั้นอยากทำอะไรกลับไปให้สังคมบ้าง เพราะเราก็ทำงานมานานแล้ว แล้วเราก็แทบไม่ค่อยได้ทำอะไรตอบแทนสักเท่าไหร่ สิ่งนึกที่อาจจะคาใจผมทุกครั้งเมื่อได้ยินคำว่าทุนการศึกษา นั่นคือ ผมรู้สึกว่าอยากจะเป็นคนให้บ้าง มีแค่นั้นเลย โชคดีหน่อยที่มีเพื่อนเป็นอาจารย์ที่ขอนแก่น เลยลองถามไปว่าพอจะมีลู่ทางที่สามารถทำสิ่งที่เราอยากทำได้ไหม ก็มีจริงๆ และก็รู้มาว่าในแต่ละปี มีคนขอทุนเยอะพอสมควร
ปีนี้และปีต่อๆ ไป ถ้าผมยังอยู่ ผมก็จะมอบทุนให้ทุกๆ ปีเท่าที่สามารถจะทำได้ครับ
ตั้งแต่ผมได้จดหมายจากน้องมาจนถึงผมเขียนอยู่นี้ ผมยังรู้สึกดีใจแบบอิ่มๆ แน่นๆ แบบไม่ได้กินบุฟเฟ่ต์
แต่มันมาจากสิ่งที่เราอยากทำในชีวิตก่อนเราจะไป ได้ถูกติ๊กถูกไปอีก 1 อย่างแล้วนั่นเอง 🙂
นี่คือจดหมายที่น้องส่งมาให้ครับ
Comments