ช่วงตั้งแต่ทำงานที่บ้าน (Work From Home) เจอพฤติกรรมตัวเองว่าใช้มือถือเยอะขึ้น บ่อยขึ้น บ่อยในระดับที่ไม่รู้จะทำอะไรก็หยิบมือถือขึ้นมาไถๆ อ่านๆ แล้วก็วางไป ไม่เกิน 5 นาทีก็หยิบมาอีกแล้ว เป็นอย่างนี้แทบทุกวันจนรู้สึกว่านิสัยเริ่มเสียแล้ว
และปีก่อนได้เห็นโพสต์ของแบงค์ The MATTER แนะนำแอปนึงเอาไว้ track ว่าเราใช้งานมือถือยังไงบ้าง แอปนี้ชื่อว่า ActionDash
แอปนี้จัดเป็นฟีเจอร์ Digital Wellbeing ที่ทาง Google พัฒนาขึ้นมาเพื่อช่วยให้เรารู้ว่าเราใช้มือถือมากน้อยขนาดไหน ด้วยเป้าหมายที่จะลดการใช้งานของเราเมื่อเห็นตัวเลขที่โชว์ขึ้นมา (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Blognone)
จากตรงนี้ รวมกับมาเป็นช่วง work from home เราเลยกลับมาเชคเลขนี้อีกครั้ง ซึ่งมันก็ฟ้องว่า ก็บอกว่า ใน 1 วัน เราหมดไปกับแอป Facebook ประมาณเกือบๆ 50% รองลงมาก็ Twitter แล้วก็แอปเมลที่ทำงาน แล้วก็เล่นเกม
ด้วยข้อมูลที่ฟ้องมา กอปรกับเอม นภพัฒน์จักร @noppatjak หัวหน้าทีมข่าว WorkpointTODAY ทวีตข้อความว่าเขาลบแอป Facebook ออกไปแล้ว ดังนั้นเราเลยถือโอกาสทำไปด้วยพร้อมๆ กัน
แต่ย้ำอีกทีว่า เราลบแค่แอป แต่บัญชียังคงอยู่เหมือนเดิมครับ
ตอนที่เขียนนี้ลบไปได้ 12 วันแล้ว แล้วก็พบพฤติกรรมของตัวเองเปลี่ยนไปด้วยนิดหน่อย
- ใช้น้อยลงกว่าเดิมมาก ด้วยความที่เราไม่ต้องพะวงเรื่อง Notification ที่มันจะเด้ง เราก็ลดจำนวนนาทีของ Screentime Usage ไปโดยอัตโนมัติ อันนี้ต้องบอกว่าผมจะค่อนข้างบ้าจี้ดูเรื่อยๆ อยู่แล้ว พอตัดเรื่องนี้ออกไปได้ ผมก็ลดการใช้มือถือไปเยอะเลยทันที
- เข้ายากขึ้นแต่ก็ยังเข้า พอลบแอปไป ช่วงแรกๆ เราก็ยังแอบเผลอหาแอปอยู่ แล้วก็มานึกออกทีหลังว่าเราลบไปแล้ว แต่ด้วยการทำงานที่เรายังจำเป็นจะต้องใช้งานอยู่ ดังนั้นการเข้าไปใช้งานก็จะต้องทำผ่าน browser แทน ดูหนทางการเข้าไปลำบากมากขึ้นนิดนึง และมันเป็นเหตุผลนึงที่เราขี้เกียจเข้าไปใช้งาน และเวลาใช้งานลดลงตามลำดับ
- ใช้บนคอมก็น้อยลงตาม อันนี้อาจจะเป็น domino effect ที่ส่งผลมาจากการลบแอป เพราะพอมาดูตัวเองแล้ว การเปลี่ยนพฤติกรรมบนมือถือ ก็ทำให้เราเข้า Facebook บนคอมด้วยความถี่ที่น้อยลงตามไปด้วย แต่ก็ยังเข้าเหมือนเดิมไม่ได้หายไปไหน แค่รู้สึกว่าเรามี block เวลาในการเข้าที่ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งอันนี้แอบตกใจตัวเองเหมือนกัน
เขียนมาถึงตรงนี้ไม่ได้อยากสนับสนุนให้ลบแอป Facebook หรืออะไรที่ใช้งานหนักๆ แต่อย่างใด เพราะทุกแอปยังมีประโยชน์ในตัวของมัน รวมทั้งวัตถุประสงค์เพื่อช่วยในการทำงานสำหรับแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน แค่อยากให้รู้สึกว่าวิธีการนี้มันแอบดีสำหรับเรา ทำให้เราได้สนใจอะไรที่อยู่นอกหน้าจอให้มากขึ้น หรืออยู่บนโลกที่จับต้องได้มากขึ้น
สุดท้ายเราต้อง balance การใช้ชีวิตผ่านดิจิทัลและอนาลอคให้สมดุล เพื่อความสบายใจและมีประสิทธิภาพที่ดีสำหรับตัวเรา
Comments